|
|
ภูมิปัญญาจีน
เขียนโดย จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง เมื่อ ศุกร์, 11/06/2010 - 14:38.
ภูมิปัญญาโต้คลื่นและลมของจีนโบราณ
ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า มีเทคโนโลยีมากมายที่ชนจีนได้เป็นผู้คิดค้นและให้กำเนิดก่อนหน้าชาวตะวันตก ซึ่งบางอย่างก็ยังพัฒนาใช้กันจนถึงยุคปัจจุบัน สองพันปีก่อนโน้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น เรือสำเภา (Junk) ของจีนเรียกได้ว่าครอบครองทะเล เนื่องจากแม้ว่ายุคนั้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศจีนรวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้อำนาจของฮ่องเต้องค์เดียว ราษฎรจีนเพิ่มจำนวนและขยายตัวลงมาทางใต้ หากทว่าการเดินทางบนบกยังมีอุปสรรคอยู่มาก ดังนั้น เมื่อมาถึงฝั่งทะเลและปักหลักฐานอาศัย พวกเขาจึงสร้างและพัฒนาเรือสำเภาขึ้นเพื่อการทำมาหากินและการขนส่งสินค้า ช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่เรือของชาวตะวันตกยังใช้ใบเรือที่ติดตรึงอยู่กับที่ แต่สำเภาจีนได้มีการพัฒนาใบเรือที่สามารถควบคุมบังคับให้พลิกไปพลิกมา และเป็นครั้งแรกของโลกที่เรือใบสามารถแล่นทวนกระแสลมได้ ทั้งนี้ เพราะเมื่อพลิกให้ใบเรือรับกระแสลมโดยให้ใบด้านหนึ่งมีความเร็วลมสูงกว่าอีก ด้านหนึ่งก็จะเกิดความแตกต่างของแรงกดดัน (pressure) และฉุดเรือให้แล่นฉิวไปข้างหน้าได้ เทคโนโลยีนี้ อธิบายได้ด้วยทฤษฎีของเบอร์-นุลลี (Daniel Bernoulli) นักฟิสิกส์สวิสในศตวรรษที่ 18 ซึ่งค้นพบภายหลังการใช้ใบเรือของจีนหลายร้อยปี และอีกต่อมาในศตวรรษที่ 2 จีนก็ยังได้ใช้ ไม้ไผ่มาทำโครงใบเรือ (batten) ที่ทำให้ยกใบขึ้นและลงได้อย่างสะดวกและง่ายดายกว่าโครงใบของตะวันตกที่แข็งทื่อ ในยุคโบราณ เรือสินค้าทุกลำจะมีท้องเรือที่เปิดกว้างทะลุถึงกัน ซึ่งถ้าหากเกิดรอยรั่ว นํ้าจะไหลทะลักเข้ามาเต็มท้องเรืออย่างรวดเร็วและ...จม แต่สำเภาจีน มีการแบ่งท้องเรือออกเป็นช่วงๆ เหมือนกั้นห้อง เมื่อนํ้ารั่วเข้ามาในห้องใดห้องหนึ่ง ห้องนั้นก็จะมีนํ้าขังอยู่เพียงแค่ระดับเท่ากับนํ้าทะเลภายนอก เพราะว่าเรือยัง สามารถลอยลำได้อยู่ด้วยอากาศในห้องอื่นๆ ต่อมาประเทศทางตะวันตกก็ได้เอาเทคโนโลยีห้องกั้นนํ้า (water-tight compartments) นี้มาใช้ อันที่จริงในปี ค.ศ.1911 อภิเรือสำราญไตตานิก (Titanic) ก็เป็นเรือยักษ์ลำแรกของตะวันตกที่ใช้ ท้องเรือแบบแยกเป็นห้องเหมือนกัน หากแต่สร้างอย่างไม่ถูกวิธี?! นั่นคือ แต่ละห้องท้องเรือของไตตานิกมีผนังที่สูงไม่ถึงชั้นดาดฟ้า เมื่อนํ้าเข้ามาจนท่วมถึงขอบบนของผนัง ก็จะล้นไปยังห้องอื่นๆกระทั่งจมลงในที่สุด ข้อเหนือกว่าอีกอย่างของ สำเภาจีนในอดีตก็คือ การใช้หางเสือเรือ (rudder) ซึ่งมีขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 แล้ว โดยก่อนหน้านั้นการบังคับทิศทางแล่นของเรือมาจาก "แจว" (steering oar) ซึ่งเรือตะวันตกก็ยังคงใช้กันอยู่อีกเป็นพันปี หลังจากจีนเปลี่ยนมาใช้หางเสือแล้ว เรือลำใหญ่นั้น เมื่อใช้แจวท้ายเรือเป็นตัวบังคับให้เลี้ยวซ้ายขวาตามต้องการก็จะต้องใช้แจวที่ใหญ่ ทำให้หนักแรงและยากแก่การควบคุมทิศทางเรือ ถึงจะใช้หางเสือใบใหญ่ๆก็เช่นกัน ทั้งนี้ เพราะเมื่อใบหางเสือกว้างและลึกลงไปในนํ้า แรงกดดันของนํ้าทะเลทั้งสองด้านจะต้านทานไว้ ยิ่งเรือแล่นเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งควบคุมยากขึ้นเท่านั้น แต่จีนมี วิธีแก้ไข นั่นคือการเจาะรูหางเสือ (fenestrated rudder) หรือทำให้เป็นช่อง เมื่อนํ้าไหลทะลุได้ แรงกดก็เบาบางลง แม้ว่าจะลดความสามารถในการควบคุมการเลี้ยวไปบ้างก็ตาม หางเสือเจาะรูนี้มาเป็นที่นิยมใช้ในดินแดนตะวันตกในราว ค.ศ.1901 เมื่อเรือมีความเร็วที่สูงขึ้นจนถึง 30 นอตจนหางเสือธรรมดาไม่เหมาะที่จะใช้อีกต่อไป บางครั้งสำเภาจีนแล่นขึ้นเหนือ แต่ลมทะเลที่พัดจากตะวันออกไปตะวันตกจะทำให้เรือเอียง จีนจึงได้พัฒนา "ครีบท้องเรือ" (keel) ติดไว้ในแนวดิ่งใต้เรือ ครีบนี้จะช่วยในการทรงตัวของสำเภาให้มั่นคง ถ่วงจุดศูนย์กลางความถ่วงของเรือให้ตํ่าลงและไม่พลิกควํ่าง่ายๆ นอกจากนี้ จีนยังเพิ่มครีบข้างเรือ (leeboard) เสริมความมั่นคงของเรือเข้าไปอีกด้วย ครีบท้องเรือ แล้วก็มาถึงการใช้อุปกรณ์นำทาง (navigation) ของจีนในการเดินเรือขนสินค้าไปยังดินแดนไกลๆ เช่น ข้ามมหาสมุทรอินเดีย แรกทีเดียว ชาวจีนโบราณอาศัยการดูตำแหน่งดวงดาว รวมทั้งความเร็วและทิศทางของกระแสน้ำ ประกอบกับตารางน้ำขึ้น-น้ำลง ฯลฯ เป็นเครื่องช่วยชี้แนวทางเดินเรือ ต่อมาจะเป็นช่วงระยะเวลาใดไม่ทราบแน่ แต่คงราวเกือบพันปีก่อนโน้น ที่จีนได้เป็นผู้ริเริ่มใช้ "เข็มทิศ" (compass) โดยแรกทีเดียว เข็มทิศของจีนทำจากวัสดุธรรมชาติ นั่นคือแร่ที่มีคุณสมบัติแม่เหล็ก "แมกเนไตต์" (magnetite) เนื่องจากชนจีนได้สังเกตเห็นว่าแร่พิเศษนี้ ไม่ว่าจะนำเอามาวางและตั้งชี้ไปในทิศใด มันก็จะหมุนกลับมาชี้ในทิศทางเดิมอยู่เสมอ ราวปี ค.ศ.900 จีนได้ติดตั้งเข็มทิศช่วยการนำทางในสำเภาที่ขนสินค้าผ่านมหาสมุทรอินเดียไปยุโรป ทำให้เรือสินค้าของชาวตะวันตกหันมาใช้เข็มทิศกันอย่างแพร่หลาย จนเข็มทิศกลายเป็นอุปกรณ์ที่ขาดมิได้สำหรับเรือเดินทะเลสมัยนั้น...เพราะคุณจะอาศัยดูดวงดาวได้อย่างไรยามฟ้ามืดมิดด้วยเมฆ เข็มทิศจีนโบราณ และจาก ค.ศ.1100 ใช่แต่เพียงเป็นผู้นำในการใช้เทคโนโลยีสำหรับเรือเท่านั้น จีนยังเรียกได้ว่าเป็นมหาอำนาจทางทะเลอีกด้วย โดยเฉพาะการเดินทางของกองเรือมหึมาในศตวรรษที่ 15 ช่วงระหว่าง ค.ศ.1405-1437 ขบวนเรือมหาสมบัติ (Treasure ships) ได้ออกเดินทางข้ามโลกไปยังฝั่งทะเลแอฟริกา บางคนกล่าวว่าไปไกลถึงอเมริกาเหนือเลยทีเดียว การเดินทางนี้มีจุดประสงค์ เพื่อประกาศศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของจีนให้ประเทศทั้งหลายในโลกได้รับรู้ ธงชาติจีนได้ตระเวนไปปรากฏต่อสายตาชาวโลกรวมเจ็ดครั้งของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ โดยหกครั้งภายใต้การนำของมหาขันที "เจิ้งเหอ" (Zheng He) ขบวนเรือของเจิ้งเหอมีขนาดมหึมาที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น ประกอบด้วยลูกเรือกว่า 20,000 คน ไปถึงดินแดนใดก็เป็นที่เอิกเกริกต่อชาวท้องถิ่น แต่เหนืออื่นใด คือขนาดอันมโหฬารของสำเภาจีน ซึ่งไม่เหลือซากที่สมบูรณ์ให้เห็นในปัจจุบัน จึงเป็นที่ถกเถียงกันว่ามีขนาดใหญ่เพียงใดแน่ แต่ในปี 1962 ได้มีการค้นพบเสาปลอกพวงมาลัยยาวถึง 36 ฟุต (12 เมตร) จากเรือมหาสมบัติลำหนึ่ง เชื่อกันว่าใช้กับหางเสือขนาดยักษ์ ใหญ่กว่าหางเสือใดๆ ที่เคยพบ ซึ่งเมื่อเทียบดูแล้วสำเภาที่ใช้หางเสือขนาดนี้จะมีความยาวไม่ต่ำกว่า 400 ฟุต และกว้างถึง 166 ฟุต! เป็นเรือไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หันมาดูเทคโนโลยีทางด้านลมของจีนดูบ้าง จีนมีการเล่นว่าวมาแต่โบราณกาล เทคนิคของการลอยตัวของว่าวนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนนัก ตัวว่าวจะต้านทานกระแสลมและบังลมไว้ ดังนั้น ด้านหลังของตัวว่าวจึงเกิดสุญญากาศอ่อนๆ ขึ้นและทำให้มีแรงดูดหรือแรงดึง ว่าวจึงลอยสูง มีบันทึกไว้ว่าในครั้งศตวรรษที่ 5 เมืองจีนมีการใช้ว่าวเป็นรหัสสัญญาณ รวมทั้งเป็นพาหะส่งข่าวข้ามหัวฝ่ายข้าศึก บางฉบับถึงกับกล่าวว่าใช้ว่าวติดระเบิดเพลิงขึ้นไปและชักให้ตกลงในค่ายของศัตรู อีกบันทึกหนึ่งระบุว่า แม่ทัพคนหนึ่งของจีนต้องการบุกโจมตีค่ายฝ่ายตรงกันข้ามโดยอาศัยการลอบขุดอุโมงค์เข้าไปโผล่ในค่าย แต่ท่านแม่ทัพไม่ประสงค์จะเสี่ยงชีวิตทหารที่จะเข้าไปวัดระยะทางที่จะขุดอุโมงค์ จึงชักว่าวตัวหนึ่งขึ้นไปลอยเหนือฝ่ายข้าศึก ทหารในค่ายได้ยิงว่าวตกลงมา ท่านแม่ทัพจึงสั่งให้ดึงเชือกให้ตึง แล้ววัดระยะเส้นเชือกที่ใช้ชัก จากนั้นจึงสั่งให้ขุดอุโมงค์ตามความยาวที่ได้มา และ...ประสบชัยชนะ ของเล่นอีกชิ้นหนึ่งของชาวจีนได้แก่ กังหันลอยลม (Bamboo Dragonfly) ซึ่งเมื่อชักเชือกที่พันไว้โดยรอบก้าน แล้วปล่อยกังหันไม้ไผ่เล็กๆ ออกไป มันก็จะลอยปลิวไปตามลม ก็คล้ายกับกังหันจิ๋วที่ติดอยู่บนหัวของโดราเอมอนนั่นแหละครับ กังหันลอยลม ซึ่งต่อมากังหันลอยลมหรือแมลงปอไม้ไผ่นี้ก็กลายเป็นยานเฮลิคอปเตอร์ที่เหินฟ้าอยู่ในปัจจุบัน จึงนับว่า จีนโบราณนั้นมีภูมิปัญญาที่สูงส่ง และเป็นต้นแบบของเทคโนโลยีปัจจุบันหลายอย่าง. ที่มา: ไทยรัฐ, 29 พ.ค. 2553 »
|
|
hakka@hakkapeople.com คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม | Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal |
กะละมัง...จับผิด!!!
บริษัทเดินรถหลงเซียง ในเมืองฉางซา มณฑลหูหนาน คิดไอเดียสุดบรรเจิด โดยหยิบ "กะละมังใส่น้ำ" ธรรมดาๆ มาใช้เป็น "อุปกรณ์ตรวจจับความเร็ว" เพื่อจัดการกับพวกโชเฟอร์ "ตีนผี"
หากโชเฟอร์คนไหนขับรถไม่ดีทำให้น้ำหกก็จะถูกทำโทษ ดังนั้น โชเฟอร์จึงต้องขับรถแบบประคับประคองไม่ให้น้ำกระฉอก ซึ่งทางบริษัทจะมีการตรวจสอบ "ระดับน้ำ" ทุกครั้งเวลาโชเฟอร์ผลัดเปลี่ยนเวร แล้วไม่ต้องกลัวด้วยว่าโชเฟอร์และกระเป๋ารถจะคบคิดกันแอบ "เติมน้ำ" ไม่ให้พร่อง เพราะบนรถจะมีกล้องทีวีวงจรปิดติดไว้ด้วย เรียกว่าบริษัทเขาวางแผนป้องกันค่อนข้างรัดกุม.
ที่มา: มติชนสุดสัปดาห์, 4-10 มิ.ย. 2553
รูปเรือสำเภาจีน
ที่เรียกว่าจีน - สยามก็เพราะว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์เป็นต้นมา ขุนนางเชื้อสายจีน เปอร์เซียและชาวตะวันตกจะได้รับราชการเป็นผู้ดูแลกรมพระคลัง และกรมท่า ด้วยฝีมือการค้าขายทางทะเล เรือใบสามเสานี้ก็มีรูปของ"ลูกตา" อยู่ทางด้านหน้าของเรือเช่นกัน
เรือสัมปทานรังนกและเรือสินค้าขนาดเล็กทั่วไป ในช่วงกลางสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง
ภาพเรือเหล่านี้จึงเป็นภาพใน "ความทรงจำ" ของผู้ที่เดินทางเข้ามาเก็บสัมปทานรังนกที่มีหลักฐานเอกสารการขอสัมปทานในช่วงกลางกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา
เรื่องนี้แจ่มโดนใจมากค่ะ
กำแพงเมืองจีน กับ ข้าวเหนียว
ศาสตราจารย์จาง ปิงเจี้ยน (Zhang Bingjian) และทีมวิจียบอกว่า คนงานก่อสร้างของจีนในสมัยโบราณได้พัฒนาปูนจากข้าวเหนียวมาประมาณหนึ่งพันห้าร้อยปีแล้ว โดยการผสมน้ำซุปจากข้าวเหนียวกับส่วนประกอบของปูนทั่วไป ส่วนประกอบนี้กลายเป็นปูนขาว หรือหินปูนที่ถูกเผาหรือให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูง จากนั้นนำไปผสมกับน้ำ ปูนจากข้าวเหนียวน่าจะเป็นปูนชนิดแรกๆ ของโลก ทำจากวัสดุอินทรีย์และอนินทรีย์ ปูนนี้มีความแข็งแรงและทนต่อน้ำได้มากกว่าปูนสุก ผู้ก่อสร้างใช้วัสดุนี้ในการทำสิ่งปลูกสร้างหลายอย่าง เช่น สุสาน เจดีย์ และกำแพงเมือง ซึ่งยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน โครงสร้างของสิ่งปลูกสร้างบางแห่งแข็งแรงพอที่จะทนทานต่อรถแทรกเตอร์และแผ่นดินไหวขั้นรุนแรงได้เลยทีเดียว
ทีมวิจัยได้ระบุว่าอะมิลโลเพคติน (amylopectin) ซึ่งเป็นโพลีแซคคาไรด์หรือคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนชนิดหนึ่งที่พบในข้าวและอาหารจำพวกแป้งอื่นๆ ที่นับเป็นส่วนประกอบลับที่ทำให้ปูนนี้มีความแข็งแรง ผลจากการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า การก่อสร้างด้วยปูนเป็นการผสมผสานของวัสดุอินทรย์และอนินทรีย์ที่มีความพิเศษ สารอนินทรีย์ ได้แก่ แคลเซียมคาร์บอเนต และสารอินทรีย์ได้แก่ อะมิลโลเพคตินที่ได้จากการผสมน้ำซุปจากข้าวเหนียวเข้าไป นอกจากนี้ อะมิลโลเพคนิตยังทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้ง ทำให้การก่อตัวของผลึกแคลเซียมคาร์บอเนตอยู่ภายใต้การควบคุม ทำให้เกิดการอัดตัวของโครงสร้างจุลภาค ที่คาดว่าก่อให้เกิดการทำงานที่ของวัสดุผสมอินทรีย์และอนินทรีย์ได้
สำหรับการทดสอบนั้น นักวิทยาศาสตร์ใช้ปูนสุกที่มีความเข้มข้นของน้ำซุปจากข้าวเหนียวในปริมาณต่างๆ มาทดสอบเปรียบเทียบกับปูนสุกดั้งเดิม ผลปรากฎว่าปูนที่มีส่วนผสมของน้ำซุปข้าวเหนียวมีความเสถียรของคุณสมบัติทางกายภาพมากกว่า มีความแกร่งทางกลที่ยอดเยี่ยม และผสมเข้ากันได้ดีกว่าปูนสมัยใหม่ ทำให้เหมาะแก่การซ่อมสิ่งปลูกสร้างในสมัยโบราณมากกว่า
ที่มา: http://www.biotec.or.th/TH/index.php/knowledge/stories/160-2010-06-04-09-26-14
เรื่องข้าวเหนียวของอาฮยุ๋งโก
อ่านเรื่อง "กำแพงเมืองจีนกับข้าวเหนียว" ของ อาฮยุ๋งโก ช่างบังเอิญจริง ๆ เพราะไหงก็ได้อ่านข่าวนี้ ในหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์จีนได้ค้นพบว่า น้ำข้าวเหนียว เป็นคุณสมบัติที่ดีที่สุดในการประสานปูน ในสมัยก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ท่านยังยืนยันผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ให้เห็นเป็นรูปธรรมอีกด้วย
บังเอิญว่า ไหง ไปคิดถึง "ถู่โหลว" ของพวกเรา และ บังเอิญอีกเช่นกัน ที่ ในขณะนี้ กลางเมืองเชียงใหม่ ย่านเมืองเก่า ถนนราชวิถี (ขนานกับถนนราชดำเนิน-ที่เป็นถนนคนเดินวันอาทิตย์ที่โด่งดัง) มี เรือนไม้เก่าแก่หลังหนึ่ง เป็นสมบัติของ สำนักงานพื้นฐานการศึกษาเชียงใหม่ (สปช.เดิม) ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หากปล่อยให้รกร้าง ก็ไม่งามตา ทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ องค์กรภาคเอกชน กลุ่มหนึ่งขอประทานโทษที่ไม่ได้จดชื่อเขามา ได้ขอเข้าใช้พื้นที่ ในลักษณะใช้ฟรี เพื่อประโยชน์ ของกิจกรรมสาธารณะประโยชน์เพื่อสังคม เจ้าของพื้นที่ไหน ๆ ก็ไม่ได้ใช้แล้ว ปล่อยไว้ ก็จะทรุดโทรม จึงยินดี ให้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยสถาบันวิจัยสังคม เป็น ผู้รับผิดชอบในการใช้พื้นที่
ปรากฏว่า นับตั้งแต่นั้นมา สถานที่แห่งนี้ หลังจากที่รกร้างไม่งามตาอยู่กลางใจเมืองเก่า กลับมีชีวิตชีวา และ ปลอดโปร่งโล่งตาโล่งใจ เกี่ยวอะไรกันกับชาวฮากกาเราล่ะ ก็เกี่ยวสิเพราะ สถาบันวิจัยสังคม โดยอาจารย์ เจ้าของโครงการ ท่านได้ ทดลองและวิจัยการสร้าง "ถู่เจีย" หรือ "บ้านดิน"
สถานที่แห่งนี้ ใกล้กับบ้าน ไหง่ ผ่านไป-ผ่านมา ทุก ๆ วัน ไหง่ จึงเห็น อาคารดินก่อร่างสร้างขึ้นมาอย่างสวยงาม แต่ยังไม่เสร็จ วานซืนนี้เอง สมองไหงก็สั่งการตามประสามนุษย์ไฮเปอร์ ว่าให้เลี้ยวรถเข้าไป เพื่อ แสดงตัวว่า "ฉันเป็นเชื้อสายของเจ้าของสถาปัตยกรรมตึกดินที่ใหญ่ที่สุดในโลกนะจ๊ะ" โดยพอมีความจำอยู่บ้างว่า ถู่โหลว ที่หย่งติ้ง เขาใช้ส่วนผสมอะไรบ้าง เช่นตึกเจิ้งเฉิงโหลว ตึก ต่าง ๆ จำชื่อได้แต่ เจิ้งเฉิงโหลว บังเอิญ ได้พบท่านอาจารย์ เจ้าของโครงการพอดี อาจารย์สุภาพสตรีท่านนี้ ไหงคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ท่านเป็นนักพัฒนาสังคมของเชียงใหม่ สามีท่าน ไหงถือว่า ไหงเป็นลูกศิษย์ท่าน คือ อาจารย์ ดร.ธเนศว์ เจริญเมือง นักมานุษยวิทยา สังคมวิทยา-ประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง ชาวไต กลุ่มต่าง ๆ ผู้บุกเบิกค้นคว้าวัฒนธรรมชาวไต และ สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจที่โด่งดังสมัยน้าชาติ
อาจารย์ท่านนี้ท่านเป็นเชื้อสายชาวแต้จิ๋ว ไหง ได้เข้าไปกราบเรียนท่าน ว่าเราชาวฮากกา เป็นเจ้าของสถาปัตยกรรมมรดกโลกที่ชื่อ ตึกดิน ใน มณฑลฝูเจี้ยน ปรากฏว่า ท่านมีความสนใจอยู่แล้ว รีบสัมภาษณ์และบันทึกตามคำพูดของไหง่ ว่า ที่หย่งติ้ง การสร้างถู่โหลว เขาจะใช้ไม้ไผ่สานเป็นโครงสร้าง แล้วส่วนผสมของ ดินที่ใช้ก่อเป็นอิฐ ก้อนโต ๆ เราใช้ ดินเหนียว มูลวัว ฟางข้าวแห้ง ผสมกับน้ำแป้งข้าวเหนียว(สุดท้ายนี้ไหงเพิ่มเอง-เพื่อสนับสนุนงานวิจัยชิ้นดังกล่าวของจีน) แล้วนำมาเรียงซ้อนกันเป็นตัวอาคาร ฉาบด้วยดินเหนียวที่ผสมแล้วอีกชั้นหนึ่งอาจารย์ท่าน มีรูปภาพ ถู่โหลว ของเราด้วย ไหงกราบเรียนท่านไปว่า ประมาณเดือนตุลาคมนี้ พวกเรา อาจจะจัดกลุ่มกันไปเที่ยว ถู่โหลว แต่ยังไม่สามารถกำหนดวันที่ได้ อาจารย์ท่านบอกว่า ถ้าจะไปจริง ๆ ขอให้มาบอกท่านด้วย ท่านจะติดตามพวกเราไปด้วย
บ้านดินที่เขาก่อสร้างข้างอาคารไม่เก่าแก่ นั้น เขาใช้สูตร ดินเหนียวผสมทราย และแป้งมันสำปะหลัง โดยมีแกลบเป็นตัวเชื่อม แล้วใช้ดินเหนียวผสมทรายละเอียด ฉาบผิวภายนอกอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้ผิวเรียบ ไหงว่า ก็ดูแข็งแรงดี แต่ไหงว่า สู้ประสานเนื้อดินข้างในด้วยฟางข้าวไม่ได้นะ อาฮยุ๋งโกว่าไหม
ที่ไหงว่า บังเอิญ ก็คือว่า ไหงกำลังจะขอความช่วยเหลือ อาฮยุ๋งโก ช่วย ค้นข้อมูลเกี่ยวกับส่วนประกอบของถู่โหลวของเรา เพื่อความถูกต้อง ว่า บรรพชนของเรา ใช้วัสดุอะไรบ้างในการสร้างตึกดินที่ยิ่งใหญ่ อยู่มาได้ หลายร้อยปี จนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล และจะได้นำไปให้สถาบันฯ เขา ในฐานะที่เรา เป็นเชื้อสายภูมิปัญญาด้านนี้ ที่ใครก็มาเถียงเราไม่ได้ เพราะของเรา ใหญ่ที่สุดในโลก (แอฟริกาก็มีแต่เป็นคล้าย ๆ กระโจมหรือกระต๊อบ เล็ก ๆ ) ในฐานะที่ อาฮยุ่งโก เก่งภาษาจีนมาก ๆ เราจะได้มอบข้อมูลให้เขา ในฐานะของชาวฮากกา หรือ ชุมชนฮากกา โดยมีไหง เป็นผู้ประสานงานด้านพื้นที่
ดีไม่ดี เขาอาจจะนำส่วนประกอบ ตามสูตรของเรา ไปใช้แทนที่เขาได้ทดลองทำอยู่ในขณะนี้ ก็ได้ เป็นการสร้างเครดิต ให้กับ ชาวฮากกาไทย ทั้งประเทศ อีกด้วย
ไหงไม่รู้ว่า ความจำที่ไหง ได้อ่านมาเกือบยี่สิบปี มันยังครบอยู่หรือปล่าวเท่านั้นน่ะครับอาฮยุ๋งโก
ตอบ ยับสินฝ่าฮยุ้งถี่
คุณเคลลี่ ฮาร์ท แห่งเว็บไซต์ www.greenhomebuilding.com กล่าวถึง "วิธีการสร้างถู่โหลว" โดยอ้างคำพูดของศาสตราจารย์ซันนี่ ไช่ (Sunny Cai) ซึ่งสอนวิชาการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งว่า สร้างฐานของถู่โหลวด้วยหินขึ้นมาโดยรอบ สูง 2 ฟุต นำซุปข้าวเหนียวและปูนขาวมาผสมกับดินที่ใช้ เพื่อความแข็งแรง นอกจากนี้ ยังใช้ไม้ไผ่ซีก, พืชประเภท อ้อ หรือ กก (ตรงส่วนนี้น่าจะใช้ ฟางข้าว มาแทนได้ - จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง) และบางครั้งก็มีการใช้เศษไม้ด้วยครับ.
เรียบร้อยและครบถ้วนมากค่ะ
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
บ้านดินของตำบลหนานจิ้ง สิ่งมหัศจรรย์แห่งประวัติศาสตร์ก่อสร้างของโลก
สำนักข่าวซินหวารายงานว่า ตำบลหนานจิ้ง มณฑลฮกเกี้ยน ซึ่งได้รับชื่อว่าเป็น "ดินแดนแห่งบ้านดิน" มีบ้านดินรูปแบบต่างๆ กว่า 15,000 แห่ง ในจำนวนนี้ หมู่บ้านดินเถียนหลัวเคิง หมู่บ้านดินเหอเคิง บ้านดินหวยหย่วน และบ้านดินกุ้ยได้ถูกบันทึกอยู่ในบัญชีรายชื่อมรดกโลกทางวัฒนธรรมด้วย
ที่มา: http://thai.cri.cn/247/2010/06/25/234s176695.htm
อาหาร 10 อย่าง ตามศาสตร์แพทย์จีนที่ไม่ควรบริโภคมากเกิน
2. ปาท่องโก๋ กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้มเป็นส่วนประกอบ และในสารส้มมีส่วนประกอบของตะกั่ว การกินปาท่องโก๋ทุกวันจะทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารตะกั่ว ซึ่งเป็นพิษต่อสมองและเซลล์ประสาท ทำให้เสื่อมเร็ว เป็นโรคความจำเสื่อม นอกจากนี้ ยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอโดยเฉพาะคนที่ร้อนในง่าย
3. เนื้อย่าง ประเภทต่างๆ เนื้อที่ถูกรม ย่างไฟ จะเกิดสารเบนโซไพริน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง
4. ผักดอง การกินผักดอง หรือของหมักเกลือนานๆ จะเกิดการสะสมของเกลือโซเดียม ทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดโรคความดันเลือดสูง และโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนี้ ของหมักดองยังมีสารก่อมะเร็ง แอมโมเนียมไนไตรต์
5. ตับหมู ตับหมู 1 กิโลกรัม มีโคเลสเตอรอลมากกว่า 400 มิลลิกรัม การกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลปริมาณสูงมากๆ นานๆ จะทำให้หลอดเลือดแข็งตัว มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดทางสมอง รวมถึงโรคมะเร็งด้วย
6. ผักขม, ผักปวยเล้ง ผักขม, ผักปวยเล้งมีสารอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่มีกรดออกซาเลตมาก จะทำให้มีการขับสังกะสีและแคลเซียมออกจากร่างกายมาก เกิดภาวะขาดแคลนแคลเซียมและสังกะสี
7. บะหมี่สำเร็จรูป บะหมี่สำเร็จรูปหลายชนิดมีสารกันบูด สารปรุงแต่งรสที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การกินบะหมี่สำเร็จรูปบ่อยๆ จะทำให้ขาดสารอาหารและเกิดการสะสมสารพิษ
8. เมล็ดทานตะวัน เมล็ดทานตะวันมีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัว การกินเมล็ดทานตะวันปริมาณมาก จะทำให้ระบบเมตาบอลิซึมของไขมันผิดปกติ ทำให้มีการสะสมไขมันที่ตับได้ เป็นอันตรายต่ออวัยวะตับ
9. เต้าหู้หมัก, เต้าหู้ยี้ กระบวนการหมักเต้าหู้ มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย นอกจากนี้ ยังมีสารย่อยสลายโปรตีน ไฮโดรเจนซัลไฟล์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
10. ผงชูรส คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินกว่า 6 กรัมต่อวัน จะทำให้กรดกลูตามิกในเลือดสูง ซึ่งมีผลต่อการทำงานของประจุแคลเซียมและแมกนีเซียม เกิดอาการปวดศีรษะ ใจสั่น คลื่นไส้ นอกจากนี้ มีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์ด้วย
ที่กล่าวมาเป็นภูมิปัญญาโบราณ ความเชื่อที่สืบทอดปฏิบัติกันมา ปัจจุบัน มีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายมากขึ้น.
ที่มา : นพ.ภาสกิจ (วิทวัส) วัณนาวิบูล
นิตยสารหมอชาวบ้าน คอลัมน์ : แพทย์แผนจีน
ไข่เยี่ยวม้าเขาทำอย่างไรครับอาฮยุ๋งโก
ไข่เยี่ยวม้าเป็นหนึ่งในอาหารที่ไหงชื่นชอบมาก ถ้าได้ทานกับขิงดองกุ้ยด้วยข้าวสวยร้อน ๆ ฮ่าวซึด แต่ก็ไม่บ่อยหรอกครับที่จะได้รับประทาน อยากทราบมานานแล้วครับว่า ไข่เยี่ยวม้า เขามีวิธีทำกันอย่างไร ถึงออกมาเป็นสีดำเงางามและเป็นวุ้นแบบนั้น ผ่านกรรมวิธีการทำให้สุกหรือปล่าวครับ แล้วที่เขาพอกดินเหนียวผสมกับแกลบนั้น มันเป็นกระบวนการหมักให้เกิดเป็นไข่เยี่ยวม้าถูกหรือปล่าว?
รวมถึงการทาสีบานเย็นบนเปลือกไข่-เพื่ออะไรครับ และทำไมต้องเป็นสีบานเย็นหรือชมพูแก่ ไข่เยี่ยวม้าเป็นอาหารเฉพาะกลุ่มของชาวแต้จิ๋วหรือของไทย ครับอาฮยุ๋งโก
ไหงก็ชอบ ไข่เยี่ยวม้า เหมือนกัน
โดยเฉพาะเอามาผัดใบกะเพราราดข้าว ห้อซิด!
ไข่เยี่ยวม้าเป็นอาหารหมักชนิดหนึ่งซึ่งค่อนข้างเป็นด่าง (alkaline food) เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของจีนมาแต่โบราณ วัง โอโซโท เป็นนักค้นคว้าเกี่ยวกับการทำไข่เยี่ยวม้า สันนิษฐานว่า ไข่เยี่ยวม้ามีกำเนิดมาจากทางภาคใต้ของจีน และแพร่หลายขึ้นมาทางภาคเหนือ บางคนว่าไข่เยี่ยวม้ามีกำเนิดมาจากบริเวณแม่น้ำยงสี โดยมีผู้คิดเก็บไข่สดดองไว้เพื่อไม่ให้เสียเช่นไข่เค็ม และได้ค้นหาวิธีดองไข่วิธีอื่นจนค้นพบวิธีการทำไข่เยี่ยวม้า
การทำไข่เยี่ยวม้าใช้ไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้ ส่วนผสมที่ใช้พอกไข่ก็มีแตกต่างกันไป ส่วนผสมวิธีหนึ่งซึ่งใช้ในการพอกไข่คือ ใบชา 600 กรัม ปูนขาว 202.5 กรัม เกลือป่น 202.5 กรัม ขี้เถ้า 35.5 กรัม และแกลบสำหรับคลุก ส่วนผสมนี้ใช้พอกไข่ 100 ฟอง นำส่วนผสมดังกล่าวข้างต้นคลุกปนกับ น้ำเย็นหรือน้ำร้อนก็ได้ให้เหนียวขนาดแป้งเปียก แล้วจึงพอกไข่ให้หนา ประมาณ 7-10 มิลลิเมตร หลังจากนั้น จึงนำไปคลุกกับแกลบบรรจุลงภาชนะ เช่น ไห โอ่ง หรือถังไม้ ใช้กระดาษน้ำมันหรือพลาสติกปิดฝากันอากาศเข้า เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 24-25 องศาเซลเซียส เปิดฝาทุก 7 วัน เพื่อกลับไข่ให้ ไข่แดงอยู่ตรงกลาง ไว้นาน 40-50 วัน ก็ใช้ได้ หรืออาจจะบรรจุภาชนะปิดฝาแล้วฝังดินไว้ประมาณ 5-6 เดือน ไข่ที่ดองได้ที่แล้วสามารถเก็บในที่เย็นไว้ได้นานถึง 1 ปี โดยไม่เสื่อมคุณภาพ
การทำไข่เยี่ยวม้า โปรตีนและ ฟอสโฟไลปิด (phospholipids) บางส่วนในไข่จะสลายตัวทำให้เกิดแอมโมเนีย นอกจากนี้ ไขมันในไข่แดง (yolk fat) ก็ลดน้อยลงไปด้วย ได้มีการศึกษาเรื่องการทำไข่เยี่ยวม้าว่า ในกระบวนการทำไข่เยี่ยวม้านั้น ไข่ที่ใช้ถ้ามีเชื้อ Salmonella (เป็นเชื้อโรคทำให้เกิดท้องร่วง ท้องเสีย) หรือเชื้อโรคจำพวก พาราไทฟอยด์อยู่ เมื่อทำเป็นไข่เยี่ยวม้าได้ที่แล้วเชื้อนี้จะตายไป
ถึงแม้ว่าไข่เยี่ยวม้ามีประโยชน์ในการบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต ก่อให้เกิดกำลังและเจริญอาหาร แต่ในกระบวนการผลิตไข่เยี่ยวม้าบางครั้ง ผู้ผลิตจะใส่สารประกอบของตะกั่วลงไป เพื่อควบคุมความเป็นกรดด่าง (pH) ให้คงที่ ซึ่งช่วยให้ไข่ขาวแข็งตัวอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น ในไข่เยี่ยวม้า จึงอาจมีสารตะกั่วในรูปของตะกั่วซัลไฟด์อยู่ โดยสังเกตได้จากส่วน ของไข่ขาวจะมีสีดำมาก ลักษณะขุ่น ส่วนไข่เยี่ยวม้าที่ไม่มีตะกั่วซัลไฟด์ ไข่ขาวจะมีสีน้ำตาลคล้ำและมีลักษณะใส ซึ่งถ้าพบไข่เยี่ยวม้ามีลักษณะ ไข่ขาวขุ่นไม่ใสก็ควรจะหลีกเลี่ยงไม่รับประทาน
ที่มา: http://www.tistr.or.th/t/publication/page_area_show_bc.asp?i1=64&i2=9
เหตุที่เปลือกของไข่เยี่ยวม้ามีสีแดงๆ นั้น เพราะได้มีการเอาปูนแดงไปทาเคลือบที่ผิวของไข่เยี่ยวม้า เพื่อเป็นการช่วยรักษาค่าความเป็นกรดด่างของไข่เยี่ยวม้าในระหว่างการเก็บรักษาและการขนส่งได้อีกทางหนึ่ง ทำให้คุณภาพของไข่เยี่ยวม้าไม่เปลี่ยนแปลงครับ.
การดื่มน้ำ เพื่อสุขภาพ
เมื่อประมาณสัก 10 กว่าปีก่อน ไหงได้ฟังบทความชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ทางวิทยุ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นของทางแพทย์แผนจีน ได้แนะนำว่า คนเราควรจะดื่มน้ำวันละ 5 ครั้งๆ ละ 2 แก้ว ดังนี้
1. ตื่นนอน (ยังไม่ต้องแปรงฟัน หรือทำกิจวัตรต่างๆ)
2. เวลา 10.00 น.
3. เวลา 14.00 น.
4. เวลา 16.00 น. และ
5. ก่อนนอน
รวมแล้วเป็นวันละ 10 แก้ว ไม่รวมน้ำที่ดื่มหลังอาหารในแต่ละมื้อๆ ละ 1-2 แก้ว ต่อมา ไหงได้อ่านบทความชิ้นหนึ่งซึ่งแนะนำในทำนองคล้ายๆ กัน ต่างกันตรงที่แนะนำให้ดื่มน้ำรวมกันแล้วถึง 14 แก้ว (ยังไม่รวมน้ำที่ดื่มหลังอาหารในแต่ละมื้อ) ซึ่งโดย "ความเห็นส่วนตัว" และหลักทางสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฏิปทา แล้ว ไหงคิดว่ามากเกินไป จึงไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการที่เคยยึดถือมาตลอด
ทั้งนี้ น้ำที่ดื่มควรจะเป็นน้ำที่อุณหภูมิปกติ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นน้ำอุ่น
มีคำแนะนำอย่างหนึ่งสำหรับคนที่ติดนิสัยชอบดื่มน้ำเย็น (ไม่เกี่ยวกับบทความข้างต้น) เขาแนะนำว่า "เราสามารถดื่มน้ำเย็นได้ ตราบเท่าที่ยังเห็นพระอาทิตย์อยู่" หมายถึง ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและหลังพระอาทิตย์ตก (มองไม่เห็นพระอาทิตย์) เราไม่ควรจะดื่มน้ำเย็น นอกนั้น สามารถดื่มน้ำเย็นได้ อย่างไรก็ตาม การดื่ม "น้ำที่อุณหภูมิปกติ" ถือว่าดีที่สุด.
ไหงเป็นคนที่ชอบดื่มน้ำในปริมาณมาก
ไหงมีนิสัยติดตัวมาตลอดน่าจะสิบกว่าปีได้แล้วกระมัง ที่ไหงชอบดื่มน้ำเป็นปริมาณมาก ทั้งหลังอาหาร และตลอดช่วงกลางวัน โดยเฉพาะในกลางวันไหงจะติดนิสัยดื่มน้ำเย็นจัด เพราะมันจะทำให้ไหงสดชื่น หลังจากตื่นนอน สิ่งที่ไหงทำเป็นกิจวัตรมาเป็นเวลานาน คือดื่มน้ำแก้วใหญ่ ๆ 1 แก้ว หรือเท่ากับแก้วขนาดมาตรฐาน 2 แก้ว หลังจากนั้นประมาณ ครึ่ง-1 ชั่วโมง ก็รับประทานอาหารเช้า
ตอนไหงไปจีนครั้งแรก ๆ เมื่อ 16-17 ปีก่อน ไหงแทบจะบ้าตายเพราะหาน้ำเย็นดื่มไม่ได้เลย
ทุกวันนี้ ไหงดื่มน้ำน่าจะเป็นแกลลอน นึกออกไหมครับ แกลลอนใส่น้ำดื่มที่เขาขายส่งกันน่ะ อีกอย่างเป็นเพราะไหงทานยามากมาตลอดชีวิตนับตั้งแต่อายุ 15 ถึงปัจจุบัน เพราะไหงเป็นโรคไมเกรนอย่างรุนแรงที่สุดในประเทศไทย ย้ำนะครับ รุนแรงที่สุดในประเทศไทย ต้องทนทุกข์ทรมานมาก จากการที่ไหงต้องกินยาติดต่อกันมา ทุก ๆ วันไม่เคยขาดยาเลย นับได้เป็นแสนๆ เม็ดแล้วกระมัง ทำให้ไหงเป็นห่วง "ไต" ของไหง่มาก ๆ ไหงไม่รู้จะทำอย่างไร จึงพยายามดื่มน้ำสะอาดให้มากที่สุด และมันจึงติดเป็นนิสัยติดตัวมาทุกวันนี้่ ปัจจุบัน ร่างกายของไหงทุกส่วน สมบูรณ์แข็งแรงดีมาก ยกเว้น สมอง ที่เส้นเลือดมันจะหดตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ไหงปวดหัวอย่างรุนแรง ยาอะไรก็เอาไม่อยู่ นอกจากต้อง เอาผ้าเย็นโปะน้ำแข็ง วางทับหน้าผาก อยู่ในห้องมืด เปิดแอร์ให้เย็น แล้วกินยานอนหลับอย่างแรงให้มันหลับไปเลย
เรื่องไมเกรนนี้ ไหงนอนโรงพยาบาลมานับไม่ถ้วน ล่าสุด เมื่อกรกฎาปีก่อน ไหงตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลประสาทเชียงใหม่ ทำให้ไหงโชคดี พบแพทย์หญิงอายุรกรรมประสาทที่เก่งมากที่สุด และเป็นแพทย์ที่มีคุณธรรมดีมาก ๆ เธออายุแค่ 38 เอง แต่ยกมือไหว้ผู้ป่วยทุกคน เธอบอกไหงว่า ไหงเป็นคนไฮเปอร์ นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไหงเป็นโรคนี้ และสารต่าง ๆ ในร่างกายไหงมันไม่สมดุล (ไม่เกี่ยวกับความเครียดนะเพราะไหงเป็นคนร่าเริงแจ่มใสแต่ความเป็นไฮเปอร์นี่สำคัญเพราะมันทำให้ไหงคิด ๆ ๆ อยู่ตลอดเวลา เกี่ยวกับเรื่องงาน ถ้ามีจ๊อบสำคัญเข้ามา เวลานอนหลับทำให้ไหงคิดแต่เรื่องงาน มันเลยส่งผลไปถึงสมองฯลฯ)
คุณหมอท่านนี้เก่งมาก และเป็นคนดีมาก ท่านบอกไหงว่า ทีผ่านมาไหงรักษาไม่ถูกที่ ก็จริงของท่าน ท่านให้ไหง "ตัดยา" คาร์เฟอร์กอต ที่ไหงกินทุกวันติดต่อกันมาเป็นเวลา ไม่ต่ำกว่า 12 ปี เฉลี่ยวันละ 2-3 เม็ด ลองเอา 365 คูณ 12 ่คูนด้วย 3 ดู มันจะมากมายมหาศาลแค่ไหน ไอ้ยาตัวนี้ มีผลข้างเคีัยนภายหน้าคือ ปลายประสาทจะชา เส้นเลือดจะตีบ และเปราะบาง หมอบอกว่าโชคดีที่ยังไม่เป็น แต่ไหงเริ่มรู้ตัวว่า ปลายแขนซ้ายมันจะชาเป็นช่วง ๆ และขาซ้ายกับมือขวาเริ่มสั่น เป็นอาการเริ่มของพาร์กินสัน บางครั้งสมองก็สั่งงานร่างกายผิด หรือร่างกายรับคำสั่งสมองผิด หรือคิดอีกอย่างหนึ่ง แต่เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น
คุณหมอท่านให้ไหง "ตัดยา" คาร์เฟอร์กอต เหมือนตัดยาเสพติด เท่านี้เองครับเป็นเรื่อง วันนี้ตัดยา พรุ่งนี้เกิดอาการอย่างรุนแรงที่สุดเลย ต้องกลับไปนอนโรงพยาบาล 3 วัน 3 คืนเต็ม ๆ ทีนี้ยาแก้ปวดอะไรก็เอาไม่อยู่เลยครับ ต้อง ฉีด "สเตลรอยด์" ตลอด 24 ชั่วโมง วันละ 10 เข็ม ตั้งแต่เที่ยงวัน ยันเที่ยงคืน รวมแล้ว 30 เข็ม ไม่พอ ออกโรงพยาบาลมาต้องกินเจ้าสเตลรอยด์นี่อีก 30 เม็ด ไหงเหมือนคนเมาเหล้าทำอะไรไม่ได้ไปสองสัปดาห์เต็ม ๆ ไท้ก๋าหยิ่นคิดดูว่า มันอันตรายแค่ไหนไอ้สเตลรอยด์นี่ ตอนอยู่เชียงรายก็โดนอย่างนี้เหมือนกัน เท่ากับว่า ไหงถูกเจ้าสเตลรอยด์เข้ามาอยู่ในร่างกาย 2 ครั้งในชั่วชีวิตนี้ มันคงยังแฝงอยู่ในร่างของไหงอยู่
ตอนนี้ไหง ดีขึ้นมา 80% เลยครับ คงมีอาการอยู่ 20% ทุกคืน ไหงจะต้องทานยาชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นยาป้องกันไม่เกรนแบบใหม่ มันหาซื้อตามร้านขายยาไม่ได้เพราะเป็นยาต้องห้าม คือมันอยู่ในกลุ่มยานอนหลับไหงจะต้องใช้มัน วันละ 50 มิลลิกรัม มากกว่าคนทั่วไป เพราะคนทั่วไป เจอไปแค่ 10 หรือ 25 มิลลิกรัม แล้ว ตื่นมาก็แฮงค์เลยครับ แต่นี่ไหงไม่เป็นอะไรเลยมันเพียงทำให้ไหงตื่นสายแค่นั้นเอง อีกอย่างไอ้ยานี่ มันจะทำให้ปากไหงแห้งอยู่ตลอดวัน ดังนั้น ไหงจึงต้องดื่มน้ำมากเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า คือดื่มทุก ๆ ประมาณ 10 นาที ยิ่งในเวลาพูดบรรยายให้กับลูกค้า ไหงจะต้องจิบน้ำทุก ๆ ประมาณ 5 นาที
พูดเรื่องน้ำกลายมาเป็นเล่าประวัติคนไข้ให้ไท้ก๋าหยิ่นฟัง แต่ไหงว่ามันเป็นวิทยาทานนะครับ เรื่องไมเกรนของไหงนี้ ถ้าไหงเขียนลงคู่สร้างคู่สม รับรองว่า ได้ลงอย่างแน่นอน ตอนนี้กำลังชั่งใจอยู่ว่า จะเขียนดีไหม เท่านั้่นเอง
การดื่มน้ำก่อนนอน
มีคนจีนบอกไหงว่า ห้ามดื่มน้ำในปริมาณมากๆ หลังจากสองทุ่ม หรือ ก่อนเข้านอน ซึ่งจะทำให้เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ถุงใต้ตาจะบวมและเป็นสาเหตุของความชราบนใบหน้า ไม่ทราบว่าจริงหรือป่าวค่ะ ไหงพาคนจีนไปเที่ยว ไปกินข้าว ไม่เห็นเค้าจะดื่มน้ำกันเลยค่ะ
ผลเสียของการดื่มน้ำก่อนนอน
ที่อาซือยาว่าการดื่มน้ำก่อนนอนไม่ดีทำให้ถุงใต้ตาบวมนั้น ไหงว่ามีเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์น๊ะไหงว๊า ก็เพราะการดื่มน้ำก่อนนอน ทำให้เราจะต้องลุกขึ้นมาฉี่บ่อยๆ พอลุกขึ้นมาฉี่บ่อยๆ เป็นอันว่าคืนนั้นไม่ต้องหลับต้องนอนกันหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่นอนหลับยากๆด้วยแล้ว พอไม่ค่อยได้หลับได้นอน ผิวหนังรอบดวงตาก็อาจจะมีริ้วรอยมีถุงใต้ตาหรือขอบตาอาจจะดำเหมือนกับหลินปิงก็เป็นไปได้ ไหงว๊า
ถามอาปักไช้วีฟัดครับ
ไหงว๊า คืออะไรครับ ใช่ทับศัพท์ภาษาไทยรึเปล่า จากคำว่า ไหงว่า
แต่ลองกลับมานึกดูอีกทีคำว่า ไหงว๊า ก็ไม่แน่อาจจะไม่ใช่ทับศัพท์เพราะเห็นอาปัก พิมท์ลงท้ายประโยค น่าคิดครับ
ตอบจอมยุทธน้อยจุ้งฟะ
ตอนไหงไปหม่อยแย้นไหงชอบคุยภาษาฮากกา ( แบบรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง ) กับหลานๆไหง อายุไม่เกิน 10 ขวบ( ไหงเป็นศุขกุง ) คุยไปคุยมาแล้วไหงคงฟังไม่รู้เรื่องแล้วไม่ได้สนใจไม่ได้ทำตามที่หลานไหงบอกอะไรสักอย่างจะให้ทำอะไรสักอย่าง หลานไหงจึงพูดว่า " ไหง ว๊า ปุ้น หงี ถั่ง " ซึ่งแปลว่า " ไหงบอก ( หรือว่า ) ให้คุณฟัง " คำนี้จึงเป็นคำที่ไหงชอบมาล้อเล่นกับหลานไหงที่เมืองจีนบ่อยๆ ไหงว๊า จึงน่าจะหมายความว่า ไหงว่าหรือบอก ( ไหงไม่ค่อยรู้เท่าไรนะ ถ้ามีผู้รุ้มาตอบจะดีมากเลย )
คำสอนลูกของอาสุก
ท่านบอกว่า ตอนที่ลูกชายของท่านเริ่มเป็นวัยรุ่น ท่านขอให้ลูกทำตามคำสอนของท่านเพียง 3 ข้อ คือ
1. อย่าขับรถเร็ว
2. อย่าติดยา
3. อย่าเป็นเอดส์
พอลูกชายของท่านโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานมีการทำแล้ว ท่านลดคำสอนของท่านลงเหลือแค่ 2 ข้อ คือ
1. ออกกำลังกายเป็นประจำ
2. มีลูก
ไหงประทับใจคำสอนของท่านตรงที่มีเพียงแค่ 2-3 ข้อ สั้น และจำง่ายดีครับ.
อยากกินโต๊ะอีก
ไหงเห็นว่าคำสอนของอาสุกหงี เข้าใจง่าย และก็ตรงไปตรงมาดี อย่างตอนวัยรุ่น 3 ข้อ มี 2 ข้อ ที่ทุกคนก็คงระวัง และวางกฎเหล็กไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ยังคงมีข้อแรก คือขับรถเร็ว ขืนจะเตือนตนอย่างไร บางครั้งบางหน ก็อาจจะมีเผลอไปบ้าง ก็คงต้องหมั่นเตือนตนให้บ่อย ๆ และท่องคาถาไว้บทหนึ่ง ของล้นเกล้า ร.5 นั่นคือ"ให้ชั่งมัน" คือแม้จะมีใครมาป่วน มายั่วอย่างไร ก็วางเฉยเสีย คิดว่าทุกท่าน คงจะเคยประสพกันมาตามท้องถนนแน่ อย่าลืมท่องไว้ "ให้ชั่งมัน" ทีนี้ก็มาตอนโตเป็นผู้ใหญ่ มีอีก 2 ข้อ เอาข้อแรกก่อน จากประสพการณ์ของตัวไหง สำคัญมากข้อนี้ ตัวไหงเอง ความสูง 174 ซ.ม ปกติน้ำหนักอย่าให้เกิน 70 ก.กเป็นน้ำหนักที่พอดีสำหรับไหง มีอยู่เที่ยวหนึ่ง น้ำหนักขึ้นไปถีง 73 ก.ก มันอึดอัดไปหมด นั่งขัดสมาธิ พับเพียบ ไม่ได้ คือเอ็นยึดหมด เดินก็เหนื่อยง่าย วิ่งก็ลำบาก คือความคล่องตัวหมดไป ทีนี้บังเอิญ ไหงไปได้รับคำปรึกษา จากคุณหมอมา คุณหมอบอกให้วิ่งเหยาะ ๆ ไปเรื่อย ๆ ครั้งละประมาณ ครึ่งชั้วโมง จนหัวใจเต้น ตึก ๆ ๆ ถี่ ๆ ไหงก็ลองทำตามดู วิ่งอาทิตย์ละสามวัน วันเว้นวัน ไหงวิ่งรอบบ้านไหง จับระยะทางแล้ว ได้ 3 กิโลเศษ วิ่งแบบเหยาะ ๆ อย่าหยุด อย่าเร่งมาก วิ่งเสร็จเหงื่อท่วม มันจะเผาผลาญ ไขมันส่วนเกินในร่างกายทุกส่วน ขอให้ ไถ่ก๊า ลองปฎิบัติดู จากน้อย ๆ ไปก่อน แรก ๆ เหนื่อยเร็ว กัดฟันวิ่ง สักสาม สี่ ครั้งก็จะเริ่มอยู่ตัว จะรู้สึกคล่องตัวมาก ๆ ขอบอกว่า การออกกำลังกายนี้จำเป็นมากทุกท่านที่น้ำหนักเกิน ต้องขยันหน่อยครับ....ทีนี้ก็มาข้อที่สอง ฮะฮะฮะ มีลูก ข้อนี้ ก่อนจะมีลูก ต้องมีแม่บ้านก่อนครับ ถึงจะมีลูกได้ เห็นหงีว่าจำง่ายดี ก็เลยจำซะอย่างเดียว ไม่ยอมปฎิบัติตาม ที่จริงไหงว่าชุมชนเราล้วนอยากจะไป"ซิดจอก"ที่กระทุ่มแบนอีกหนหนึ่ง ไม่ใช่"จอก"ธรรมดา แต่ว่าเป็น"ซุ้งฮี่จอก"ฮิฮิ ไถ่ก๊าหว่าเห่หม่อ
เฮ่-ขิ้นสุ้ยโก
คำสอนของอาฮยุ๋งโกเก้อาสุก เป็นคำสอนง่าย ๆ แต่มีสาระสำคัญครบถ้วนและถูกต้องเป็นอย่างยิ่่ง แต่คิดว่า มีอยู่ข้อหนึ่งนะ ที่อาฮยุ๋งโก ไม่ยอมปฏิบัติตาม อิอิอิ.
ขิ้นสุ้ยโกออกกำลังวิ่งเหยาะ ๆ นั้นดีมากเลยนะครับ ไหงก็ได้เริ่มทำอย่างขิ้นสุ้ยโกมาได้สัก 1 เดือนแล้ว ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายดีขึ้นมากเลยทีเดียว น้ำหนักก็ลดลงบ้าง อาการเจ็บป่วยมันก็ลดน้อยลงไป ดีมากเลยนะครับ
คราวหน้าการ ซึิดจ่อก ต้องมีแน่นอนนะอาขิ้่นสุ้ยโก แต่มันอาจจะกลายเป็น ซึดจ่อกไท้ฟี้ ของชุมชนเรา แ่ด่ถ้าซุ้งฮี่จอก แล้วละก็ ตามอัธยาศัยนะครับ อาโกทั้งหลาย แฮ่.
กุย ม้อ ทู่ ก็อก
เป็นไปไม่ได้
ขอขยายความให้สำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบความหมายของคำว่า 龟毛兔角 กุย ม้อ ทู้ ก็อก วลีนี้มีอยู่ในบล็อก ต้น-หยก ด้วย แปลเป็นไทยได้ว่า เต่ามีขน กระต่ายมีเขา ความหมายคือ เป็นไปไม่ได้ อาฮยุ๋งฮวุง ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราจะให้มันเป็นไม๊ เท่านั้นเอง หงีว่าไม๊ ถ้าตามเพลงของ The Impossible ก็ เป็นไปไม่ได้ คนเราจะไปมีสิบหน้าได้อย่างไร ไหงจะเล่าให้หงีฟัง อาปักไหงมีเมียตอนอายุ 47 และไหงก็เกิดในปีถัดมา ตอนไหงเกิดเพื่อนรุ่นเดียวกันกับกื๋อก็เกิดหลานชายพอดี ก็แสดงว่าครอบครัวไหงช้าไปหนึ่งรุ่น แต่กื๋อยังทันอุ้มหลาน(ลูกชายไหง) ถีงแม้ไหงก็แต่งงานช้าตอนอายุ 36 แต่น้องชายไหงแต่งงานเร็ว ไหงจึงมีหลานชายที่เรียกไหงว่าอาปัก 13ปีก่อนไหงแต่ง เลยตอนนี้ไปไหนกับหลานคนอื่นคิดว่าเป็นน้องชาย
เดินเร็วๆ ดีกว่า วิ่งเหยาะๆ
ชิ้นสุ้ยก๊อ แทนที่จะวิ่งเหยาะๆ ไหงว่าเดินเร็วๆ น่าจะเหมาะกับวัยอย่างพวกเรามากกว่า เพราะในการวิ่ง เท้าและขาของเราต้องรองรับน้ำหนัก มากกว่าการเดินตามปรกติถึง 3 เท่า ในระยะยาวจึงน่าจะเป็นผลเสียกับข้อเข่าของเราได้ เคยมีคนไปสอบถามนักปั่นจักรยานเสือภูเขา ปรากฏว่า หลายคนเคยเป็นแชมป์วิ่งมาราธอนมาก่อน สาเหตุที่เปลี่ยนมาขี่จักรยานก็เพราะว่ามีปัญหาเรื่องเข่าเสื่อม การขี่จักรยานต่างจากการวิ่งตรงที่ เข่าไม่ต้องรับแรงกระแทกอะไร ทำให้มีโอกาสบาดเจ็บน้อย
อันที่จริง การออกกำลังกายทีปลอดภัยที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การว่ายน้ำ เพราะการเคลื่อนไหวทุกอย่างในน้ำ จะมีน้ำช่วยพยุงร่างกายอยู่ตลอดเวลา โอกาสที่จะบาดเจ็บจึงมีน้อยมาก
หยิ่นฮยุ๋งล่อเท้
ทีแรกไหงก็มีความคิดอย่างที่หงีว่าเหมือนกัน ทีนี้ไหงจะเล่าถึงสิ่งที่ไหงเห็น สิ่งที่ไหงรู้ ตั้งข้อสังเกตุ ไหงปฎิบัติต่อตัวไหงเองโดยตรงให้ฟังกันบ้าง
คือไหงตั้งข้อสังเกตุว่า ถ้าเป็นแพทย์ทาง ซียี้ คือแผนตะวันตก ถ้าเจ็บแขน เจ็บเข่า เจ็บข้อ คุณหมอจะตีไปที่กระดูกทั้งหมด ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีคุยเรื่อง เส้นเอ็นเลยแหละ แต่ถ้าเป็นแพทย์แผนตะวันออก จุงยี้ บ้างล่ะ ซินซ้าง ก็จะพูดกันแต่เรื่อง เส็นเอ็น ไม่มีพูดเรื่องกระดูกเลยเช่นกัน ถ้ากระดูกไม่ถึงกับหักหรืองอ จะไม่พูดถึงเลย
แพทย์ตะวันตก เพิ่งจะมาสว่างก็เมื่อแพทย์ จุงยี้ รักษากันให้เห็นชัด ๆ กับการฝังเข็ม แต่ก็รับกันเท่านั้น อย่างอื่นก็ยังกระดูกอยู่
ไหงมี อาหยี คือ พี่สาว น้องสาวแฟนไหง กับแฟนไหง กับตัวไหงเอง เมือสามสี่ปีก่อน มีอาการปวดที่เข่า เดินลำบาก ลุกก็ยาก นั่งยอง พับเพียบ สมาธิ ปวดหมด ไปให้หมอตรวจ หมอก็บอกว่าเป็นโรคเข่าเสื่อม สะบ้าเสื่อม จนปัจจุบันแฟนไหง อาหยีไหงก็ยังปวดอยู่ แต่ไหงบังเอิญ ได้ไปตรวจทรวงอก เอ๊กซเรย์ ที่โรงพยาบาลทรวงอก หลายเที่ยว สุดท้าย แพทย์กลับบอกว่า ให้ช่วยวิ่งให้หมอหน่อยนะ วิ่งให้ใจเต้นตึก ๆ ๆ ๆ วิ่งเหยาะ ๆ วิ่งแล้วห้ามหยุดพัก ให้วิ่งท่าเดียวจบ ไม่ต้องเร็ว สักครึ่งชั่วโมง ประมาณสองสามวันครั้ง ไหงก็มาวิ่งตามที่หมอบอก ปรากฏผลที่ตามมา น้ำหนักลด ไขมันที่เริ่มมีก็ลด ร่างกายกระฉับกระเฉงขึ้น และที่สำคัญ โรคปวดข้อปวดเข่า หายไปหมด
นี่ไหงให้แฟนซื้อถุงเท้าญี่ปุ่นมาใส่อยู่ ถ้าเข่าดีขึ้นอีกสักหน่อย ก็จะชวนกันไปวิ่งพร้อมกัน แต่อย่างไรก็ดีการเดินเร็ว ๆ การว่ายน้ำไหงก็เห็นด้วยว่าเหมาะในวัยอย่างไหง(หงียังก่อน เดี๋ยวจะบอกเหตุผล ฮะฮะฮะ)
ไหงมีข้อสนับสนุนอีกข้อหนึ่งที่ว่าแพทย์แผนตะวันตก โดยเฉพาะแพทย์เกี่ยวกับกระดูก ถ้าหากว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเกี่ยวกับกระดูก แพทย์ก็จะจับใส่เฝือก โดยไม่จัดกระดูกให้ดีพอ ถ้ากระดูกแตกหักมา อย่างพวกมอเตอร์ไซค์ ก็จะถูกตัดเป็นเดชไอ้ด้วนไป ไหงรู้มาหลายราย พอหมอบอกว่าต้องตัดทิ้ง ก็ไปให้พระสงฆ์รักษา ที่วัดบางเลน ในตัวอำเภอบ้านโป่งนี่แหละ ไปดูได้ เฝือกโรงพยาบาล ถูกหลวงพ่อท่านผ่าทิ้งไว้เป็นกอง สุดท้ายไม่ต้องตัดนิ้วตัดแขนขาทิ้ง ยังไงก็น่าจะดีกว่าแน่
ไหงมี อาเซ่เจ๋ ตกไป ข้อมือบิดมาทางข้างหน้า ไปให้หลวงพ่อท่านรักษา ท่านมีวิธีทำให้แขนกลับสู่ที่เดิมกันเดี๋ยวนั้น ทุกวันนี้แขนปกติดีครับ
เรื่องแพทย์ก็จบไปแล้ว ทีนี้ไหงจะขออนุญาต ไถ่ก๊า คุยกับคุณ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง ในฐานะ ฮยุ้งถี่(ไถ่ก๊าอย่าว่าเสียมารยาทเลยนะ) ไหงสนับสนุนความเห็น คุณอาคม ด้วยอีกหนึ่งเสียง ตอนอาแม้ไหงมีไหง อาแม้ไหงอายุ 43 เซ่ ส่วนอาหยาไหงอายุ 48 เซ่ อาแม้ไหง อยู่กับลูก ๆ จนอายุ 97 ครับ เห็นหงีร้องเพลง The impossible ก็ให้สงสัยอยู่ว่า หงีอั๋งผี่ ตรงไหน ทั้งสุภาพอ่อนโยน หน้าตาดี ความสามารถมาก น้ำใจดี แล้วอย่างนี้ ยังจะมีสุภาพสตรีท่านใดกล้าปฎิเสธอย่างนั้นหรือ ลองมองคนที่ถูกใจอยู่สักคน(คนเดียวพอ) ลองคบกันดู หงีจะเห็นว่า โลกช่างสดใสเกินกว่าที่คิดไว้เยอะ(ชุมชนเราอีกท่านหนึ่งก็เตรียมใจไว้ด้วยนะครับ..แฮ่ แฮ่)
ไปตามน้ำกับขิ้นสุ้ยโก
อยากแจมเรื่องที่ขิ้นสุ้ยโกเขียนถึงอาฮยุ๋งโก บ้าง ขอเรียนให้ไท้ก๋าหยิ่น ทราบว่า ที่แท้ ไหงได้แอบ ลุ้นให้อาฮยุ๋งโกหลังไมล์มานานแล้วนะ (แหะแหะ-คิวต่อไปเป็นวี่ฟัดโก-หุหุ-ไม่ทราบว่ากี๋กลับมาจากพม่าแล้วหรือยัง) ว่ากันตามจริง ชีวิตของวี่ฟัดโกก็น่าอิจฉาไม่น้อยนะ ไม่มีห่วง อาชีพทนายความเป็นอิสระ อยากไปไหนก็ไป แต่ไหงว่า ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ เนาะ ขิ้นสุ้ยโก เนาะ ทางที่ดี มีคู่ดีกว่า อิอิ.
ขอกราบเรียนไท้ก๋าหยิ่นว่า ในชุมชนเรานี้ ทุกทุกท่าน เป็นกัลยาณมิตรกันอย่างแท้จริง ไหงคิดว่าเหมือนญาติสนิทเลยละ ไม่รู้นะ ท่านใดจะคิดอย่างไรก็ช่าง แต่ไหงคิดว่า อยู่ที่นี่ มีความสุข เหมือนกับอยู่กับพี่ชายพี่สาว และลูกหลาน อย่างแท้จริง จินตนาการไปไกลเหมือนอยู่ได้ใกล้ชิดกันมาก ๆ
ดัวยข้อความดังกล่าวตามข้างต้น ไหงขอยกตัวอย่างความเป็นกัลยานมิตรให้ไท้ก๋าหยิ่นทราบ เกี่ยวกับสุขภาพของไหง เมื่ออาหยิ่นฮยุ๋งโกได้ทราบเกี่ยวกับความทุกข์ทรมาณของไหง คือว่า ไหงเป็นไมเกรนอย่างรุนแรงที่สุด ชนิดที่พูดได้ว่า รุนแรงที่สุดในประเทศไทยได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ไหงเป็นเมื่อ อายุ 15 ตอนนี้ 42 เอาเป็นว่า เริ่มจากปี 38 ถึง 52 ก็แล้วกัน ไหงกินยาแก้ปวดไมเกรน(ไม่นับยาป้องกันตัวอื่น ๆ ) กินอยู่ทุกวัน เฉลี่ยวันละ 3 เม็ด ไม่เคยขาดเลย เอา 3 คูณ 365 คูณ 15 เ่่ท่ากับ 16,425 เม็ด ขนลุกไหมครับ ไม่พอ ไหงต้องกินยาป้องกัน อีก ทุกคืน คืนละ 2 เม็ด เิอา 2 คูณอีก ได้เท่ากับ 10,950 เม็ด รวมแล้ว อยู่ที่ 27,375 เม็ด ทุกวัน ย้ำ ทุกวันเลยนะครับ สยองไหมครับ
ไหงจึงมีความกังวลว่า ไตของไหงมันจะเป็นอย่างไรบ้าง
อาทิตย์ที่แล้ว อาฮยุ๋งโก กรุณาบอกบุญมายังไหง ได้แนะนำศาสตร์เวชกรรมความคล้าย ซึ่งรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน โดยวิธีการบำบัดรักษาซึ่งไม่ใช้ยาเคมีเลย รักษาด้วยการอย่างแย่ที่สุดคือจัดให้ทานอาหารเสริม และ ให้ทานอาหารชีวจิต ให้ปฏิบัติธรรม ให้ออกกำลังกาย ฯลฯ โดยเน้นหนักที่ การออกกำลัง และ การปฏิบัติธรรม
เป็นที่โชคดีว่า ศูนย์การแพทย์ในแขนงนี้ ซึ่งเขาโด่งดังมานานมาก ทั้งประเทศไทยมี อยู่ แค่ 2 ศูยน์ คือ ที่กรุงเทพ และเชียงใหม่ครับพี่น้อง ไหงโชคดีมาก ที่อาฮยุ๋งโกท่านแนะนำให้ และมีศูนย์อยู่ที่เชียงใหม่ด้วยไหงจึงรีบเดินเข้าไปดู ปรากฏว่า เป็นสถานพยาบาล ที่ เป็นเหมือน สถานปฏิบัติธรรมบวกกับฟิตเนสเซ็นเตอร์ มีห้องอาหารชีวจิต มีสระว่ายน้ำ มีห้องออกกำลังกาย มีห้องปฏิบัติธรรม มีห้องขายหนังสือธรรมะ และหน้งสือเกี่ยวกับต่อสู้โรคร้ายอย่างมะเร็งได้ชนะ และมีห้องขายอาหารสำเร็จรูปแบบชีวจิต
ไหงได้ตัดสินใจ หยุดยาที่ต้องใช้ทานประจำ ซึ่งคุณหมออายุรกรรมประสาทที่โรงพยาบาลประสาทเชียงใหม่ จัดให้่ บังเิอิญคุณหมอท่านไปอบรมต่อที่อเมริกา 6 เดือน ท่านได้สั่งยาไว้ให้ ไหงต้องกินคืนละ 5 เม็ด เป็นยาแรงมาก ห้ามขายในร้านขายยาเพราะเป็นกลุ่มยานอนหลับและกล่ิอมประสาท ไหงต้องเอาที่โรงพยาบาลอย่างเดียวเท่านั้น ในขณะที่ทุกวันนี้ ไหงก็กินยาไป กลัวไตเน่าไปด้วย ไม่พอ นอนไม่ค่อยหลับ กลัวไม่ตื่นเหมือนไมเคิลแจ๊คสัน กับมารีรีนมอนโรล หรือ คุณป้า ที่แสดงเป็นจู๊ยิงไถ ไหงกังวลมาก
เมื่อวาน เป็นวันแรกครับ ที่ไหงตัดสินใจ หยุดยาทั้งหมด ไม่กินอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแก้ปวดไมเกรน กับยาป้องกัน และยานอนหลับอย่างแรง คิดว่า จะไม่กินอีกต่อไป ดูซิว่า มันจะเป็นอย่างไร ถ้าปวด ก็จะหยุดกิจกรรมทุกอย่าง และทำตัวตามที่ศูนย์ อ้อ ชื่อศูนย์ บัลวี ครับ
ทำตามที่ศูนย์แนะนำคือ ออกกำลังกาย ทานอาหารที่ดี และปฏิบัติธรรม ซึ่งทุกข้อ ไหงปฏิบัติเป็นประจำอยู่แล้ว ยกเว้นการออกกำลังกาย ไหงไม่มีวินัยในการออกกำลังกาย ตอนนี้ คิดว่า จะต้องทำ โดยทำอย่างเดียวกับ ที่อาขิ้นสุ้ยโก ทำนั่นแหละครับ ใช่เลย
ลองมาติดตามดูนะครับว่า หลังจากนี้ ไหงจะเป็นอย่างไรบ้าง
นี้คือตัวอย่างหนึ่ง ของ กัลยาณมิตร "มิตรที่แนะนำกันไปในทางที่ดีครับ" ไท้ก๋าหยิ่น
ขอบพระคุณ อาฮยุ๋งโก เป็นอย่างยิ่งครับ ที่แนะทำทางสว่างในชีวิตให้ไหง และลูกเมีย อั้นตอเซี้ย ครับ
ขอบพระคุณ ก๊ออาคม ชิ้นสุ้ยก๊อ และยับสินฝ่าล่อแท้
น่าเอามาใช้ในเมืองไทยจริงๆ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์จีน, ครม.จีน และ สำนักนายกรัฐมนตรีจีน ได้ประกาศใช้กฎเหล็กใหม่ปราบคอรัปชัน
โดยกำหนดให้ข้าราชการระดับจังหวัดทุกคน รวมทั้งบุคคลในครอบครัว ซึ่งประกอบด้วยภรรยาและบุตร ต้องรายงานทรัพย์สินส่วนตัวของคนในครอบครัวทั้งหมดต่อทางการ ตั้งแต่รายได้ส่วนตัว บ้านที่อยู่อาศัย รถยนต์ ฯลฯ ไปจนถึงการลงทุนต่างๆ ทั้งในนามตัวเอง ภรรยา และบุตร หากมีการหย่าร้าง ต้องรายงานให้ทางการทราบ แม้แต่ภรรยาและบุตรเดินทางไปต่างประเทศ ไปทำงานในต่างประเทศ ไปลงทุนในต่างประเทศ ก็ต้องรายงานให้ทางการทราบหมด
เหตุผลที่ พรรคคอมมิวนิสต์จีน และ รัฐบาลจีน เร่งปราบคอรัปชันในจีนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็เพราะ การคอรัปชันของข้าราชการทำให้อำนาจของพรรคและรัฐบาลเสื่อมลงไปเรื่อยๆ ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นศรัทธา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการอยู่ในอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ผิดกับคนไทยที่นิยมชมชอบคนคอรัปชันมากกว่าผลเสียของชาติ
กฎเหล็กปราบคอรัปชันของจีน เหมือนและคล้าย กฎเหล็กปราบคอรัปชันของสิงคโปร์ คือ คุมที่ตัวทรัพย์สิน ถ้ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเกินรายได้ และไม่ปรากฏว่ามีการเสียภาษีเงินได้ส่วนเกินนี้ โดนลงโทษทันที
ผิดกับกฎหมายปราบคอรัปชันของเมืองไทย ซึ่งไม่มีการตรวจสอบอะไรเลย อย่างการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ของข้าราชการผู้ใหญ่และนักการเมืองต่อ ป.ป.ช. ก็แจ้งไปเป็นพิธีการเท่านั้น ใครจะแจ้งมีเงินสดเป็นพันล้าน ที่ดินเป็นหมื่นล้าน ป.ป.ช.ก็เก็บใส่ลิ้นชัก ไม่มีการตรวจสอบว่า เงินสดพันล้านนี้ท่านได้แต่ใดมา ที่ดินหมื่นล้านนี้ท่านได้แต่ใดมา อาชีพอื่นก็ไม่มี มีแต่อาชีพการเมือง แล้วเงินเหล่านี้มีการเสียภาษีเงินได้หรือไม่ก็ไม่ตรวจสอบ แต่ทีภาษีชาวบ้าน สอบกันละเอียดยิบทุกรูขุมขน
กลายเป็นว่า การแจ้งทรัพย์สินเยอะๆ กลับเป็น "ที่ชุบตัว" ของนักการเมือง โดยมี ป.ป.ช.ตีตรารับรองอย่างเป็นทางการ.
ที่มา: ไทยรัฐ, 15 ก.ค. 2553
จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง
ไหงเห็นด้วยกับหงีร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่คงต้องรอ ชาติหน้าตอนบ่าย ๆแน่เลย
ไม่คิดมากหรอก เพราะไหงอายุไม่น้อยแล้ว
ไม่รู้มีโอกาสได้เห็นหรือเปล่า จะคอยวันนั้น
แย้มกลเม็ดอุปรากรจีน “เปลี่ยนหน้า”
การแสดงอุปรากรจีนเปลี่ยนหน้ากาก หรือที่เรียกเป็นภาษาจีนว่า “เปี้ยนเหลี่ยน” ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงของเสฉวน มักจะสร้างความตื่นตาตื่นใจและความสนเท่ห์แก่ผู้ชม ว่านักแสดงสามารถเปลี่ยนหน้ากาก (เหลียนผู่) สีสันฉูดฉาดแต่ละหน้าได้อย่างไรในเวลาอันรวดเร็ว และ “เปี้ยนเหลี่ยน” เป็นมายากล หรือว่าเป็นทักษะเฉพาะตัว
ราชาเปลี่ยนหน้ากาก เรียนรู้และฝึกฝนทักษะด้วยตัวเอง
เหอหงชิ่ง ราชาเปลี่ยนหน้ากาก หรือเรียกในภาษาจีนว่า “เปี้ยนเหลี่ยนหวัง” ที่อายุน้อยที่สุดในขณะนี้ เล่าถึงความหลังกว่าจะถึงวันนี้ให้ฟังว่า เขาได้ได้ร่ำเรียนการแสดงงิ้วเสฉวนมาตั้งแต่เด็ก และตอนที่อายุ 15 ปี ได้เรียนรู้วิธีเปลี่ยนหน้ากากและศิลปะการแสดงมาบ้างจากอาจารย์ ซึ่งนับเป็นการจุดประกายให้เหอรู้สึกสนใจการแสดงเปลี่ยนหน้ากากเป็นอย่างมาก แต่ในขณะนั้น ศิลปะเปลี่ยนหน้ากากยังไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายทอดแก่คนภายนอกง่ายๆ ดังนั้น เมื่อเหอสนใจอยากเรียนรู้จึงต้องใช่วิธีครูพักลักจำเอาเอง
สิ่งสำคัญที่สุดของการแสดงคือเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ที่ต้องทำขึ้นพิเศษ
เหอหงชิ่งกล่าวต่อว่า หน้ากากหรือเหลียนผู่เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของการแสดง ซึ่งในตอนต้นไม่มีใครสอนเหอถึงวิธีการทำเหลียนผู่ เหอจึงต้องคิดค้นวิธีทำหน้ากากเอง สำหรับเหลียนผู่อันแรกของเหอ ไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจนัก เพราะรู้สึกว่าไม่แนบชิดติดกับผิวหน้า ซึ่งนอกจากจะดูไม่สวยงามแล้ว ยังส่งผลต่อความเร็วในการเปลี่ยนหน้ากากด้วย
ภายหลังเหอหงชิ่งได้ยินอาจารย์พูดถึงแบบพิมพ์ที่ช่วยทำเหลียนผู่ แม้เหอก็ไม่รู้ขั้นตอนการทำอย่างละเอียด แต่ก็ได้ไปซื้อปูนพลาสเตอร์มาถุงใหญ่ เหอนอนลงหลับตาแล้วใช้ปูนพลาสเตอร์ที่ผสมกับน้ำดีแล้วเทราดลงบนหน้า
หลังจากผ่านอุปสรรคมากมาย ในที่สุดเหอก็ทำแบบพิมพ์หน้าอันแรกสำเร็จ และใช้เป็นแบบพิมพ์วาดหน้าเหลียนผู่ การวาดบนแบบพิมพ์เช่นนี้ก็เปรียบเหมือนวาดบนหน้าตัวเอง ดังนั้นเหลียนผู่ที่ได้จึงมีขนาดพอเหมาะพอเจาะกับใบหน้าเป็นที่สุด
ส่วนเครื่องแต่งกายที่นักแสดงสวมใส่ต้องเป็นชุดที่พิเศษ ซึ่งหลายจุดทำขึ้นจากวัสดุพิเศษ เมื่อมองจากด้านหลังจะเห็นว่าบนเสื้อคลุมมีรูมากมายเหมือนรูกระสุนรัวใส่ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อการแสดง และถือเป็นเคล็ดลับสุดยอดเลยทีเดียว “เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ที่ใช้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักแสดงเปลี่ยนหน้ากาก” เหอหงชิ่งกล่าวย้ำ และชุดที่ใช้ออกแสดงชุดแรกของเหอก็เป็นฝีมือตัดเย็บของเขาเอง
ยิ่งกว่ามายากล ครึ่งวินาทีเปลี่ยนได้ 3 หน้า
หลังจากใช้เวลาฝึกฝนมานานนับ 10 ปี ในขณะนี้ เหอหงชิ่งถูกกล่าวขานว่าเป็น “เปี้ยนเหลี่ยนหวัง“ ที่อายุน้อยที่สุดและเปลี่ยนหน้ากากได้เร็วที่สุด ครึ่งวินาทีเปลี่ยนหน้ากากได้ 3 หน้า อย่างรวดเร็วโดยหน้ากากไม่ฉีกขาด ซึ่งเป็นสถิติที่ยังไม่มีใครทำลายได้
เหอหงชิ่งแย้มกลเม็ดให้เราฟังเล็กน้อยว่า “ผมบอกได้เพียงว่า เคล็ดลับของพวกเราอยู่ที่ส่วนหัวและร่างกาย” พร้อมกล่าวเปรียบเทียบว่า “สิ่งที่เป็นพื้นฐานของมายากล คือการประดิษฐ์อุปกรณ์ ซึ่งคล้ายๆ กับการเปลี่ยนหน้ากากของพวกเรา เพราะส่วนหนึ่งเราอาศัยอุปกรณ์ ซึ่งก็คือเสื้อผ้าและหน้ากาก แต่อีกส่วนคือการแสดง ซึ่งการแสดงมายากลไม่ต้องออกท่าทางมากเช่นนี้ ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า ศิลปะการเปลี่ยนหน้ากาก เป็นทั้งมายากล แต่ที่จริงแล้วเป็นยิ่งกว่ามายากล
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นกุญแจสำคัญอีกประการที่ทำให้การแสดงประสบความสำเร็จ เนื่องจากมือของผู้ที่แสดงต้องเคลื่อนไหวอย่างว่องไว จนผู้ชมมองไม่ทันจึงจะเรียกว่าอัศจรรย์
แย้มเคล็ดลับหน้ากาก 10 ชั้นถูกเปลี่ยนในชั่วพริบตา
หากดูภาพช้าจากภาพยนตร์จีนแผ่นดินใหญ่เรื่อง “เปี้ยนเหลี่ยน” เราจะเห็นคล้ายๆ กับมีเส้นด้ายบางๆ โยงกับหน้ากากไว้ ซึ่งจะเกี่ยวกับเทคนิกการเปลี่ยนหน้ากากอย่างว่องไวหรือเปล่านั้น เหอหงชิ่งอธิบายให้ฟังเพียงว่า ศิลปะการเปลี่ยนหน้ามีหลายวิธี ตั้งแต่เป่า ลูบ ดึง ฉีก แต่สำหรับการแสดงเปลี่ยนหน้ากากที่เหอใช้ในปัจจุบัน ใช้เทคนิกที่เรียกว่า “ฉือเหลี่ยน” หรือการดึงหน้ากากออก ซึ่งจะใช้เชือกดึงออก นี่คือความลับสุดยอดของการเปลี่ยนหน้ากาก
อย่างไรก็ตาม การแสดงในแต่ละครั้งเหอต้องใส่หน้ากาก 10 กว่าชั้น แล้ววิธีการดึง ดึงออกแล้วเก็บไว้ที่ไหน ขั้นตอนตรงนี้ เหอหงชิ่งขอสงวนไว้ให้เป็นความลับต่อไป โดยให้เหตุผลว่า “การเปลี่ยนหน้ากากก็เหมือนการเล่นกล ไม่ได้อัศจรรย์อะไร แต่ใช้เทคนิกและกลไก หากผู้ชมรู้ความลับเกี่ยวกับกลไกทั้งหมด ความลึกลับของศิลปะการเปลี่ยนหน้ากากและคุณค่าของศิลปะแขนงหนี้ก็จะหมดไป”
แต่เหอพอจะแย้มให้ฟังเล็กน้อยว่า นักแสดงทุกคนต้องสวมใส่เสื้อคลุมทุกครั้งขณะแสดง ดังนั้น เสื้อคลุมมีความสำคัญต่อการแสดงอย่างไรคงต้องให้ผู้อ่านคิดต่อเอาเองแล้ว
ศิลปะการเปลี่ยนหน้า
การเปลี่ยนหน้า เป็นเทคนิคพิเศษชนิดหนึ่งของอุปรากรเสฉวนใช้เพื่อสื่อถึงอารมณ์ที่หลากหลายของตัวละคร โดยเทคนิกการเปลี่ยนหน้าแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ๆ คือ “มอเหลี่ยน” (ลูบ) “ชุยเหลี่ยน” (เป่า) และ “ฉือเหลี่ยน” (ดึง) นอกจากนี้ยังมีอีกแบบที่เรียกว่า “ยุ่นชี่” (กำลังภายใน)
“มอเหลี่ยน” คือการใช้น้ำมันสำหรับแต่งหน้าทาบนตำแหน่งหนึ่งบนใบหน้า เมื่อจะเปลี่ยนสีบนใบหน้าก็ใช้มือลูบ หน้าก็จะเปลี่ยนสีไป หากจะเปลี่ยนสีทั้งหน้า ก็ทาน้ำมันที่หน้าผากหรือเหนือคิ้ว หากเปลี่ยนเฉพาะครึ่งหน้าล่างก็ทาน้ำมันที่แก้มหรือจมูก หากต้องการเปลี่ยนตรงไหนก็ทาน้ำมันเฉพาะตรงนั้น
“ชุยเหลี่ยน” สีที่ใช้เปลี่ยนหน้าจะเป็นแบบแป้งฝุ่น เช่น แป้งฝุ่นสีทอง สีดำ สีเงิน เป็นต้น โดยจะนำกล่องเล็กๆ ที่ใส่แป้งฝุ่นสีวางไว้บนพื้นเวที เมื่อต้องการเปลี่ยนหน้า นักแสดงจะแสดงท่าทางที่ต้องนอนลงกับพื้นใกล้กับกล่องแป้ง และฉวยโอกาสเป่าแป้งฝุ่น แป้งก็จะฟุ้งขึ้นลอยขึ้นมาเคลือบหน้า หน้าจึงเปลี่ยนเป็นอีกสีในทันที
“ฉือเหลี่ยน” เป็นวิธีเปลี่ยนหน้าที่ค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย เพราะต้องวาดหน้ากาก หรือเหลียนผู่บนผืนผ้าไหมบางๆ ไว้ก่อน ตัดให้พอดีกับรูปหน้า และผูกไว้ด้วยเส้นด้ายบางๆ จากนั้นนำมาวางแปะไว้บนหน้าทีละแผ่น ส่วนปลายของเส้นด้ายจะนำไปผูกไว้เสื้อผ้าในตำแหน่งที่สะดวกแก่การดึงแต่ไม่เตะตาผู้ชม และขณะที่ออกท่าออกทางแสดงจึงค่อยๆ ดึงหน้ากากออกทีละชั้น ทั้งนี้ การดึงหน้ากากออกต้องมีเคล็ดลับ นั่นคือกาวที่ทาหน้ากากแปะไว้บนหน้าต้องไม่ทามากเกินไป และเวลาดึงด้ายต้องว่องไวไม่ให้ผู้ชมสังเกตเห็น
สุดท้าย “ยุ่นชี่” ซึ่งมีการเล่าต่อกันมาว่า เผิงซื่อหง นักแสดงงิ้วเสฉวนชื่อดัง ขณะที่แสดงเป็นขงเบ้ง เมื่อถึงตอนที่ฉินถงรายงานว่าสือ หม่าอี้ถอยทัพไป เผิงได้ใช้กำลังภายในทำให้หน้าเปลี่ยนจากสีแดงเป็นขาว และจากขาวเป็นเขียวได้ เพื่อแสดงความรู้สึกกริ่งเกรงหลังจากปลดภาระอันหนักอึ้งของขงเบ้ง
ทั้งนี้ ศิลปะการเปลี่ยนหน้ากาก เป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์ความรู้สึก ขณะที่เหลียนผู่หรือการใช้สีทาบนใบหน้าของผู้แสดงอุปรากรเป็นการบ่งบอกบุคลิกของตัวละครว่าดีหรือเลว แต่ “เปี้ยนเหลี่ยน” ได้ช่วยถ่ายทอดขั้นตอนการแปรเปลี่ยนของอารมณ์ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดเด่นของอุปรากรพื้นบ้านของเสฉวน.
ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 27 มี.ค. 2549
Face-changing (变脸)
Face-changing (变脸)
Face Changing
Face Changing
玻洲孝亲感恩夜---变脸 face off
玻洲孝亲感恩夜---变脸 face off
Create AccountSign In
川剧绝活--变脸 SiChuan opera ----face changing
ความมหัศจรรย์ของอุปรากรเสฉวน
ชอบมากครับ งิ้วเปลี่ยนหน้ากากของเสฉวน เคยเข้าไปดูบ่อยที่ยูทุป ฝรั่งเขา งืด (งง-ทึ่ง) มาก ๆ ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่้าของชาติจีนครับ เขาถือเป็นความลับสุดยอด เคยมีเศรษฐีฝรั่งเสนอจ่ายเงินหลายล้านบาทเพียงอยากรู้ว่าทำได้อย่างไร แค่นั้่นเอง แต่คว้าน้ำเหลวครับ สองปีก่อน ก็เคยได้ยินว่า แจ๊กกี้ ชาน หรือ เฉินหลง เสนอให้ 1 ล้านหยวน เพื่ออยากทราบความลัีบอันมหัศจรรย์นี้ แต่ข่าวไม่ได้บอกว่า เฉินหลงสมใจหรือไม่ ด้วยความเป็นคนจีน และเป็นคนสำคัญ คิดว่า คงให้กันไปแล้ว แต่คงต้องมีการสัญญากันว่าจะไม่นำไปเผยแพร่อย่างเด็ดขาด-หนึ่งในความภาคภูมิใจของประชาชาติจีนครับ
ใครอยากดู ไปที่นครเฉิงตู เมืองเอกของเสฉวน หรือ มหานครฉงชิ่ง ที่แยกออกจากเสฉวนมาเป็นมหานครขึ้นกับปักกิ่งก็ได้ครับ
เอามาหลอกเด็กอีกแล้วนะ
เล่นเกริ่นซะตื่นเต้น วันนี้มานั่งดู แป๊บๆ สิบกว่านาทีถึงจะดูจบทั้งหมด เร็วจริงๆ โดนหลอกซะเเล้ว ที่จริงก็สงสัยมานานแล้วล่ะค่ะ เคยไปดูเค้าแสดงครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเค้ามาเเสดงที่ขอนแก่น โอ้ บอกได้คำเดียวว่า ตื่นเต้นมากๆ
เดี๋ยวกะว่าจะไปฝึกลองเล่นเปลี่ยนหน้าแบบเค้าดู และยิ่งไปกว่านั้นขอไปฝึกตีลังกาซัก 10 รอบ เป็นอย่างต่ำ เอาให้ไส้ปลิ้น อยู่ผิดตำแหน่งกันเลยทีเดียว เเล้วจะมาเล่าต่อว่าเป็นยังไงบ้าง ไปฝึกด้วยกันดีไหมคะ อิอิ เพื่อนไม่ทิ้งเพื่อนน่อ
มารยาทการใช้ตะเกียบ
• ห้ามวางตะเกียบเปะปะ ต้องวางตะเกียบให้เป็นระเบียบเสมอกันทั้งคู่ การวางตะเกียบไม่เสมอกัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง คนจีนถือคำว่า “ซาน ฉาง เหลียง ต่วน” ความหมายตามตัวอักษรนั้น หมายถึง “สามยาวสองสั้น” เป็นสำนวนที่คนจีนมักหมายถึง ความตาย หรือความวิบัติฉิบหาย ดังนั้นการวางตะเกียบที่ทำให้เหมือนมีแท่งไม้สั้นๆ ยาวๆ จึงไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด
• ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น เนื่องจากเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ เทียบได้กับการใช้นิ้วชี้หน้าผู้อื่นนั่นเอง หรือแม้กระทั่งถือตะเกียบไว้ในลักษณะที่ให้นิ้วชี้ ชี้คนอื่นที่อยู่ร่วมโต๊ะ ก็ถือว่าไม่สุภาพเช่นเดียวกัน
• ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม ชาวจีนถือว่าเป็นกิริยาของ ‘ขอทาน’ ที่มักใช้วิธีเคาะถ้วยชาม ปากก็ร้องขอความเมตตา เพื่อชวนให้เวทนาสงสาร เรียกร้องความสนใจให้บริจาคทาน
• ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหาร การกระทำเช่นนี้เปรียบเหมือนโจรขุดสุสานเพื่อหาสมบัติที่ต้องการ ถือเป็นกิริยาน่ารังเกียจเลยทีเดียว เนื่องจากทำให้อาหารชิ้นอื่นๆ ในจานรวมเปรอะเปื้อนคราบจากปลายตะเกียบที่บุคคลนั้นคีบอาหารใส่ปาก
• ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาเหนืออาหาร หมายถึง การใช้ตะเกียบวนไปวนมาโดยไม่รู้ว่าจะคีบอาหารจากจานใดที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นกิริยาไม่สุภาพที่ควรหลีกเลี่ยง ควรใช้ตะเกียบคีบอาหารที่ต้องการนั้นทันที
• ห้ามอม ดูด หรือ เลียตะเกียบ กิริยานี้เป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างยิ่ง ยิ่งถ้าดูดตะเกียบจนเกิดเสียงดังด้วยแล้ว ถือเป็นกิริยาที่ไม่ได้รับการอบรมที่ดี
• ห้ามคีบอาหารให้น้ำหยดใส่อาหารจานอื่น เมื่อคีบอาหารได้แล้วต้องให้สะเด็ดน้ำสักนิด เพื่อไม่ให้มีน้ำหยดระหว่างคีบอาหารกลับมาที่ถ้วยข้าวของตนเอง และอย่าทำอาหารที่คีบอยู่หล่นบนโต๊ะ หรือหล่นใส่อาหารจานอื่น การทำเช่นนี้ถือเป็นกิริยาที่เสียมารยาทเป็นอย่างยิ่ง
• ห้ามถือตะเกียบกลับข้าง หมายถึงการรับประทานอาหารแบบถือปลายตะเกียบขึ้น ใช้ช่วงบนของตะเกียบคีบอาหาร กิริยานี้น่าดูแคลนที่สุด ถือว่าไม่ไว้หน้าตนเอง เหมือนตะกละ หิวจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
• ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบแทงลงในอาหาร ถือว่าเป็นการเหยียดหยามน้ำใจกัน ไม่ต่างอะไรจากการชูนิ้วกลางของฝรั่ง
• ห้ามปักตะเกียบไว้ในชามข้าว เนื่องจากดูเหมือนปักธูปในกระถางไหว้คนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตักข้าวให้คนอื่นแล้วปักตะเกียบไว้ในชามข้าวส่งให้ ถือว่าเป็นการสาปแช่ง
• ห้ามวางตะเกียบไขว้กัน คนจีนในปักกิ่งถือว่าการทำลักษณะนี้เป็นการไม่ให้เกียรติกัน ทั้งแก่ตนเองและเพื่อนร่วมโต๊ะ
• ห้ามทำตะเกียบตกพื้น เพราะเสียมารยาทอย่างยิ่ง และมีความเชื่อว่า จะทำให้วิญญาณที่หลับสงบอยู่ใต้พิภพตื่นตกใจ ถือว่าเป็นสิ่งอกตัญญู จะต้องรีบเก็บตะเกียบคู่นั้นวาดเครื่องหมายกากบาทบนจุดที่ตะเกียบตกทันที พร้อมกับกล่าวคำขอโทษ
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 17 ก.ค. 2553
รถบัสสามมิติ และรถไฟความเร็ว 1,000 กม. ต่อชั่วโมง
ช่วงกลางสัปดาห์ ที่ผ่านมามีข่าวที่สร้างความฮือฮาจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงแนวคิดการสร้างรถบัสสามมิติที่เรียกว่า 3D Express Coach มีคุณสมบัติพิเศษ
นอกเหนือจากการบรรทุกผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 1,200 คนแล้ว ยังสามารถยกพื้นให้รถยนต์ขับลอดตัวรถทะลุแซงไปข้างหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรได้ โดยตัวรถบัสไม่ได้กีดขวางการจราจรแต่อย่างใด
ซึ่งก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเป็นไปได้ว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด ยิ่งสภาพการจราจรที่ยุ่งเหยิงที่วินัยการขับรถยนต์ของคนจีนที่คนไทยยังต้องชิดซ้าย ตัวรถบัสมองเหมือนรถไฟ มีความสูง 4-4.5 เมตร กว้าง 4 เมตร สูง 2 ชั้น และสามารถยกพื้นให้รถยนต์สูงไม่เกิน 2 เมตร ขับลอดผ่านได้ ตัวรถบัสจะขับด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กม.ต่อชั่วโมงขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนจะใช้งบประมาณราว 500 ล้านหยวน หรือประมาณ 2,500 ล้านบาท เพื่อลงทุนสร้างรถบัสและตัวถนน โดยเฟสแรกจะสร้างที่กรุงปักกิ่ง ในระยะทาง 186 กม.ในสิ้นปีนี้ พร้อมกับให้เหตุผลว่าใช้เงินลงทุนน้อยคิดเป็นเพียง 10% เมื่อเทียบกับการลงทุนสร้างรถไฟใต้ดิน พร้อมประเมินว่ารถบัสระบบดังกล่าวจะสามารถลดปัญหาการจราจรลงได้ 20-30%
ขณะเดียวกันทางการจีนกำลังพัฒนารถไฟความเร็วสูง ใช้พลังแม่เหล็ก (Maglev: Magnetically Levitation) ทำลายสถิติโลกด้วยความเร็วที่ 1,000 กม.ต่อชั่วโมง โดยมหาวิทยาลัยเจียวทงตะวันตกเฉียงใต้ เป็นผู้พัฒนารถไฟต้นแบบที่ความเร็วเฉลี่ย 500-600 กม.ต่อชั่วโมง
ขณะที่รถไฟรถขนาดเล็กกว่าสามารถใช้ความเร็วที่ 600-1,000 กม.ต่อชั่วโมง วิ่งบริการในอุโมงค์สุญญากาศโดยปราศจากแรงลมต้น
ปัจจุบัน ความเร็วของรถไฟเปิดบริการในมหานครเซี่ยงไฮ้ไปยังสนามบินนานาชาติมีความเร็ว สูงสุดที่ 431 กม.ต่อชั่วโมง ใช้เวลาเพียง 7 นาทีเท่านั้น ซึ่งคนไทยหลายๆ คนที่ไปเยือนเซี่ยงไฮ้ได้เคยใช้บริการกันบ้างแล้ว
พร้อมกับถูกคาดหมายว่าเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาขึ้นนี้จะถูกนำมาใช้ในการบริการในชีวิตประจำวันได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า
ซึ่งจะทำให้การเดินทางด้วยรถไฟมีความเร็วสูงและคล่องตัวกว่าเครื่องบิน.
ที่มา: ไทยรัฐ, 8 ส.ค. 2553
คดีหนังแพะ
พ่อค้าขายเกลือแบกเกลือบนบ่า เดินทางมาเจอกับคนตัดฟืน คุยถูกคอกัน เมื่อเหนื่อยก็แวะพักใต้ต้นไม้เดียวกัน หายเหนื่อยแล้ว เดินทางต่อ แต่ก็บังเอิญมีเรื่องทะเลาะกันเพราะหนังแพะผืนเดียว
"มันเป็นของข้า" คนขายเกลือเสียงดัง "ข้าใช้มันพาดบ่าไว้แบกเกลือ"
แต่คนตัดฟืนก็ไม่ยอม ยืนยันมั่นคงว่าหนังแพะผืนนั้นตัวเองใช้ติดตัวมานาน ยังไงๆก็ไม่ยอม
ระหว่างที่คนทั้งสองทะเลาะกัน ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็มามุงดู เมื่อเห็นว่าหาข้อยุติไม่ได้ ใครสักคนก็บอกว่า ให้ไปหาหลี่ ฮุ่ย เจ้าเมืองยงโจว
เล่าลือกันว่า หลี่ ฮุ่ย คนนี้มีอุปนิสัยสุขุมเยือกเย็น สันทัดในการวิเคราะห์ปัญหา และตัดสินคดีความได้ยุติธรรมถูกต้อง
เปิดโอกาสให้คู่กรณีถกแถลงแสดงเหตุผลในการเป็นเจ้าของหนังแพะแล้ว หลี่ ฮุ่ย ก็บอกให้คนทั้งสองออกไปยืนรออยู่นอกห้อง
"ถ้าข้าจะเฆี่ยนหนังแพะผืนนี้ ให้มันสารภาพ" หลี่ ฮุ่ยถามขุนนาง "พวกท่านคิดว่ามันจะสารภาพหรือไม่?"
ขุนนางฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ใครจะไม่งงบ้าง ก็หนังแพะมันใช่ตัวแพะที่มีชีวิตก็เปล่า?
หลี่ ฮุ่ย อมยิ้มสั่งให้ทหารเอาหนังแพะมาขึงไว้กลางห้อง แล้วสั่งให้ทหารใช้ไม้ตีเต็มแรง ท่ามกลางความสงสัย หนังแพะมันจะพูดได้อย่างไร การตีหนังแพะจะมีประโยชน์อันใด
ทหารตีหนังแพะไปสิบกว่าครั้ง หลี่ ฮุ่ย สั่งให้หยุด เดินไปจับหนังแพะขึ้นมาแล้วพูดว่า "ข้ารู้แล้วหนังแพะผืนนี้เป็นของใคร" แล้วก็เรียกคู่กรณีทั้งสองเข้ามาในห้อง สั่งให้คนตัดฟืนเข้าไปใกล้
คนตัดฟืนมองที่หนังแพะ แล้วมองที่พื้น ก็ตกใจตัวสั่น หลุดปากสารภาพว่า หนังแพะเป็นของคนขายเกลือ
เหตุที่คนตัดฟืนยอมสารภาพ เพราะหลังการตีหนังแพะ เมล็ดเกลือที่จมฝังบนหนังแพะก็หล่นเกลื่อนกล่นอยู่บนพื้น เป็นหลักฐานยืนยันว่า หนังแพะเป็นของคนขายเกลือ ใช้แบกเกลือมานาน
ที่มา: หนังสือ มังกรสอนใจ เขียนโดย เทอด เกียรติภูมิ
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จีนครองแชมป์ ประมวลผลเร็วสุดในโลก
ตอนนี้ประเทศจีนเป็นอันดับ 2 ของโลกแล้ว
ในอดีตกาลนานมาแล้ว มหาอาณาจักรจงกว๋ออันยิ่งใหญ่มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านวัฒนธรรม ศิลปวิทยาการ อารยธรรมจีนถือว่าเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 1 ใน 5 ของโลกยุคแรก (อียิปต์-จีน-กรีก-โรมัน-เมโสโปเตเมีย)-(ไม่นับรวม มายา-อินคา) มหาอาณาจักรจีนยุคแรกที่ถือว่าเป็นปึกแผ่นแน่นหนาเป็นหนึ่งเดียวเริ่มในยุคของราชวงศ์ฉิน มี "ฉินสื่อหวงตี้-จิ๋นซีฮ่องเต้" ยุวกษัตริย์แห่งรัฐ "ฉิน" มีชื่อเดิมว่า อิ๋งเจิ้ง มีผู้สำเร็จราชการโดยอัครมหาเสนาบดีหลี่ปู้เหว่ยอดีตพ่อค้าที่มา"เตะตา"สินค้าที่มีชีวิตคนนี้ที่มีนามว่า อิ๋งเจิ้ง และปลุกปั้นจนอิ๋งเจิ้งได้ปราบดาขึ้นมาเป็นปฐมกษัตริย์แห่ง ราชอาณาจักรฉิน ที่ถือเป็นอาณาจักรแรกที่รวบรวมอดีตรัฐต่าง ๆ ทั้ง 7 ให้กลายมาเป็นหนึ่งเดียว อันที่จริงมหาอารยธรรมจีนนั้นเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้าฉินสื่อหวงตี้ขึ้นไปอีกนับสองพันกว่าปี แต่ฉินสื่อหวงตี้เป็นกษัตริย์องค์แรกที่สามารถรวมรัฐต่าง ๆ มาเป็นราชอาณาจักรจงกว๋ออันกว้างใหญ่ไพศาลและเป็นหนึ่งเดียวจนกระทั่งถึงทุกวันนี้........หลังจากฉินสื่อหวงตี้ผู้สถาปนาอาณาจักร "จงกว๋อ" อันยิ่งใหญ่ผ่านมาอีก สองพันหนึ่งร้อยปี มาในยุคสมัยของปลายราชอาณาจักร "ต้าชิง" ที่เคยยิ่งใหญ่อันปกครองโดยชนเผ่าหม่านจู๋หรือแมนจู มาร่วมสองร้อยกว่าปี ในปลายยุคของราชวงศ์ชิงหลังจาก"ฉือซีไท่โฮ่ว-ซูสีไทเฮา" ทรราชย์หญิงคนเดียวและคนสุดท้ายของจีน(ไม่สิยังมีนางเจียงชิงในยุคซินหวาอีกคนหนึ่ง) ราชอาณาจักรจีนก็ถึงคราวตกต่ำสุดขีด ถูกครอบงำ ข่มเหง แบ่งเค้ก จากมหาอำนาจชาติตะวันตก หรือที่ชาวจีนเรียก "ฝากุ่ย" (ผี...)ต่างเข้ามายึดครองดินแดนชายฝั่งทะเลตั้งแต่ใต้สุดยันเหนือสุดและไม่พอยังถูกญี่ปุ่นเข้่ายึดดินแดนภาคอีสานซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของพวกหม่านจู๋หรือแมนจู ประเทศจีนในสมัยนั้นจึงประสบกับภัยรอบด้าน ทั้งภัยจากผู้ปกครอง แบ่งสันปันอำนาจให้แก่กันและกัน ภัยจากมหาอำนาจชาติตะวันตก ภัยจากมหาอำนาจเพื่อนบ้านญี่ปุ่นที่เข้ารุกราน ภัยจากเพื่อนบ้านทางทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือที่เรียกว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟรัสเซีย และภัยของระบบศักดินา-ขุนศึกทั้งหลายที่แบ่งสันปันส่วนกันปกครองพื้นที่ตามอำเภอใจ และมหาภัยพิบัติแห่งธรรมชาติเช่น มหาธรณีพิบัติภัยแผ่นดินไหว มหาวาตภัยแห่งแม่น้ำเหลืองที่เข้าท่วมท้นเข่นฆ่าผู้คนชาวจีนทั้งหลายดาบดิ้นสิ้นตายไปนับล้าน ๆ คน ชาวจีนทั้งหลายต่างอดอยากยากแค้นแสนสาหัส ความแห้งแล้ง ความยากจน ความถูกกดขี่ข่มเหง นานาประการ ประเทศจีนในสมัยนั้นดั่งกับคนที่ง่อยเปลี้ยเสียขาทุพลภาพ ประชาชนจีนตามแนวชายฝั่งจึงพากันอพยพลงใต้ท้องเรือสำเภาพากันมาตายเอาดาบหน้ามากมายหลายล้านคน หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือบรรพบุรุษของเราที่แอบลักพักนอนมาในใต้ท้องเรือเดินสมุทรมาขึ้นฝั่งที่ปากน้ำเจ้าพระยาดินแดนเสียมหลอภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาขายแรงงานซึ่งเป็น "ทุน" ที่มีอยู่เพียงอย่างเดียวที่ติดตัวอยู่ในขณะนั้น พร้อมกับอดมื้อกินสองมื้อ ประหยัดมัถยัทธ์ จนมีเงินทุนก้อนเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งจึ่งได้ริเริ่มทำมาค้าขายหลังจากที่เป็นกุลีแบกหามรับจ้างทำสวนแรงงานต่าง ๆ มาเป็นเจ้าของร้านโชห่วยบ้าง เจ้าของร้านกาแฟบ้าง เจ้าของร้านซ่อมเครื่องจักรกลเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง เจ้าของร้านตัดเย็บเสื้อผ้าบ้าง ซื้อมา-ขายไป สินค้าต่าง ๆ บ้าง จนเกิดเป็นต้นตระกูลอัครมหาเศรษฐี มหาเศรษฐี ในราชอาณาจักรสยาม และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จึ่งได้มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นชมรม-สมาคม จีน ที่มาจากท้องถิ่นต่าง ๆ เมื่อรวมตัวกันแข็งแกร่งมั่นคง ก็ได้มีการช่วยกันส่งเงินไปให้พ่อแม่ญาติพี่น้องที่บ้านเกิดเมืองนอนหรือไม่ก็ไปรับมาอยู่ด้วยกันและยังเรี่ยไรรวมเงินทุนกันเพื่อช่วยท่านด๊อกเตอร์ซุนจงซาน ผู้นำการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ชิงจนสำเร็จสามารถสถาปนาสาธารณรัฐจีนขึ้นมาได้ แต่เคราะห์ก็กระหน่ำซ้ำซัดประเทศจีนของท่านด๊อกเตอร์ผู้มีอุดมการณ์สูงส่งด้วยยมฑูตก็ได้พรากกระชากวิญญาณของท่านไปในวัยที่ยังไม่สมควรแต่ก็ด้วยภารกิจอันยิ่งใหญ่ท่านก็ได้ทำการสำเร็จเสร็จสิ้นแล้วเหมือนประหนึ่งสวรรค์ประทานท่านมาช่วยประชาชาวจีน แล้วสวรรค์ก็นำท่านกลับไป คงทิ้งไว้แต่ภริยาของท่านคือท่านซ่งชิ่งหลิง ชาวจีนเชื้อสายฮากกาเช่นเดียวกันกับท่านด๊อกเตอร์ซุน อีกทั้งยังมีท่านเลี่ยวจ้งไข่เพื่อนสนิทมือขวาชาวฮากกาเช่นเดียวกันกับท่านแต่วาสนาก็ไม่เข้าข้างคนดีหรือว่าเป็นเพราะฟ้าได้กำหนดชะตาสาธารณรัฐจีนไว้แล้วก็มิอาจรู้ได้ เลี่ยวจ้งไข่ก็พลันมาถูกลอบสังหาร เจี่ยงเจี้ยสือ ผู้ถือว่าเป็นขุนศึกองครักษ์พิทักษ์ท่านซุนและคู่เขย ถือโอกาสตั้งตัวเป็นผู้ปกครองประเทศจีนที่กลับมาแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าด้วยขุนศึกต่าง ๆ ทั้งเหนือ กลาง ใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกของจีน พร้อมกันนั้น ปัญญาชนใหม่ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศจีนได้มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นมาจนกระทั่งเข้าสู่สงครามกลางเมืองระหว่างคอมมิวนิสต์ p h @ มกันสู้รบต่อต้านญี่ปุ่นด้วยกันจนกระทั่งญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามโลก ฝ่ายที่ญี่ปุ่นเห็นว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริงและยอมส่งมอบยุทโธปกรณ์ให้ ก็คือกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนที่นำโดยท่านจอมพลจูเต้(จูเต๋อ)ชาวฮา่กกาที่สำคัญอีกท่านหนึ่ง จึ่งทำให้กองทัพลู่ที่ 8 หรือกองทัพปลดปล่อยฯ มีศักยภาพขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก และส่งผลให้มีชัยชนะต่อรัฐบาลเผด็จการของจอมพลเจี่ยงเจี้ยสือจนหนีลงทะเลไปตั้งมั่นอยู่ที่เกาะไต้หวัน ณ บัดนั้น กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ก็ได้ยาตราทัพเข้าสู่กรุงปักกิ่ง ท่ามกลางการต้อนรับอย่างปีติยินดี ของชาวเมืองปักกิ่งในสมัยนั้น และแล้ว...ในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 บนพลับพลาเทียนอันเหมิน ผู้นำจงกว๋อก้งฉานต่าง(พรรคคอมมิวนิสต์จีน)และผู้นำปีกซ้ายของกว๋อหมินต่าง(พรรคก๊กมินตั๋ง-ประชารัฐ) ได้ยืนพร้อมเพรียงกัน โดยมี เหมาเจ๋อตง โจวเอินไหล ซ่งชิ่งหลิง หลิวส้าวฉี จอมพลจูเต๋อ ฯลฯ ยืนเด่นเป็นสง่า มีท่านซ่งชิ่งหลิงเคียงข้างประธานเหมาเจ๋อตง ซึ่งประกาศสั้น ๆ ว่า "จงหวาเหรินหมินก้งเหอกว๋อ-คายกว๋อเลอ...."----ประเทศสาธารณรัฐแห่งประชาชนจีน สถาปนาขึ้นแล้ว...นับตั้งแต่นั้นมา พรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็ได้ปกครองประเทศจีนอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีการยาตราทัพเข้าไป "ปลดปล่อย" เขตต่าง ๆ คือ ซินเจียง(ซินเกียง) เน่ยหมังกู๋(มองโกลเลียใน) ซีจ๊าง(ธิเบต) เพื่อรวบรวมอาณาจักรจีนให้กลับมายิ่งใหญ่ไพศาลตามเดิม คณะผู้นำจีนในระยะแรก ประกอบด้วย เหมาเจ๋อตงเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน-ผู้นำสูงสุดหมายเลข 1 ท่านโจวเอินไหล เป็น นายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีต่างประเทศ ท่านซ่งชิ่งหลิงเป็นประธานประเทศหรือประธานาธิบดีกิติมศักดิ์ ท่านหลิวส้าวฉีเป็นประธานาธิบดี ท่านจอมพลจูเต๋อเป็นประธานคณะกรรมาธิการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ท่านจอมพลเย่เจี้ยนยิงเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และประธานสภาประชาชนจีน ท่านเติ้งเสี่ยวผิงเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ............(พรุ่งนี้มาพิมพ์ต่อน้องหยกมาตามไปนอนแล้ว...หมดวีซ่าแล้วครับผม-หว่างอาน)----มาต่อกันให้จบนะครับ ตอนแรกว่าจะเขียนสั้น ๆ แต่อารมณ์มันพาไปน่ะครับอาจจะอ่านยากนิดหน่อยแต่ขออภัยด้วย จะขอสรุปเลยละกันนะครับ เมื่อกำจัดราชวงศ์ชิงได้แล้ว ท่านซุนก็ถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว ก้งฉานต่างกับกว๋อหมินต่าง ก็หันมาสู้รบกัน โดยฝ่ายกว๋อหมินต่าง มีหลายท่านครับที่ไม่เอาเจี่ยงเจี้ยสือแล้วไปร่วมมือกับก้งฉานต่าง นำโดยท่านซ่งชิ่งหลิง และท่านเหอเซียงหนิงภริยาของท่านเลี่ยวจ้งไข่ ครับ จนสุดท้ายสถาปนาประเทศจีนใหม่ได้ ก็ได้ปกครองประเทศไปตามแนวทางคอมมิวนิสต์แบบสุดกู่ แล้วค่อย ๆ ผ่อนคลาย มีการจัดระบบเศรษฐกิจ แบบ "คอมมูน" ในทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ จากที่ยึดบ้านของเจ้าที่ดิน และบ้านอาคารหลังใหญ่ ๆ ไป ก็ทยอยคืนให้แก่ทายาท(บ้านเกิดของอากุงไหงก็ถูกยึดไปด้วย-ตอนนี้ได้คืนมานานแล้ว) หลังจากนั้น ท่านโจวเอินไหล หลิวส้าวฉี กับเติ้งเสี่ยวผิง ได้มีการหารือกันอย่างลับ ๆ ถึงแนวทางในการพัฒนาประเทศจีน ในอนาคตหลังจากเหมาจู่สี กับโจวจ๋งหลี่ สิ้นไป จะวางแผนให้เติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุด โดย 3 ท่านนี้กำหนดนโยบาย สี่ทันสมัย (ย้ำนะครับว่านโยบายนี้ไม่ใช่เป็นการคิดของเติ้งเสี่ยวผิงคนเดียว) บังเอิญประธานเหมาเกิดสติแตก สั่งเปิดนโยบายก้าวกระโดด-ปฏิวัติวัฒนธรรม "เหวินฮว่าต้าเก๋อมิ่ง" ทีนี้ก็เกิดโกลาหล นางเจียงชิงสร้างตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่ ร่วมกับ จอมพลหลินเปียว ทั่วประเทศก็เกิดการมืดมนอนธกาล อย่างขนานใหญ่ เยาวชนเรดการ์ด ถูกปลุกผีขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เติ้งเสี่ยวผิงกับหลิวส้าวฉี ถูกโจมตีว่า "เป็นผู้มีแนวทางความคิดทุนนิยมหมายเลข 1 และหมายเลข 2 ตามลำดับ" (ท่านโจวเอินไหลรอดเพราะเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณที่ประชาชนรัีกมากที่สุดและสถานะของท่านเทียบเท่ากับเหมาเจ๋อตง) หลิวส้าวฉีโชคร้ายที่สุดถูกทรมาณและทำร้ายจนตายคาตำแหน่งประธานาธิบดี พร้อมกับ ท่านหวางกวางเหม่ยภริยา จนโลกทั่วไปต่างพากันพิศวงงงงวย ว่า ประธานาธิบดีแห่งรัฐถึงได้ถูกเด็กบ้องตื้นทำร้ายจนตายได้ และยังมีอีกหลายท่านนะครับ ช่วงนี้เป็นช่วงที่จีนสับสนวุ่นวายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติจีนเป็นอย่างยิ่ง ท่านโจวเอินไหล เหนื่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ท่านป่วย ท่านก็ต้องวิ่งไปวิ่งมาเพื่อป้องกันแกนนำแต่ละท่านให้ได้รับความปลอดภัย แต่ก็ไม่สามารถทำได้หมด แกนนำหลาย ๆ ท่านที่ต่อสู้ด้วยกันมาสามสิบกว่าปีเคียงบ่าเคียงไหล่กินข้าวหม้อเดียวกันมาตลอดเวลา 30 กว่าปี ถูกเหมาจู่สีสั่งลงโทษ เยาวชนเรดการ์ดก็บ้าคลั่ง ทำลายชีวิตผู้นำประเทศและโบราณวัตถุ-โบราณสถาน "เหมาเจ๋อตง-สติแตกแล้วครับ" เมื่อ พ.ศ. 2518 ตอนอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พาคณะเดินทางไปเปิดความสัมพันธ์ ไทย-จีน อย่างเป็นทางการนั้น การปฏิวัติวัฒนธรรม กำลังเดินทางมาถึงจุดเกือบจะจบแล้ว ประธานเหมาแก่หงำเหงีอก ต้องถูก "หิ้วปีก" เดินเข้ามายังจงหนานไห่ ให้ท่านอาจารย์หม่อมเยี่ยมคารวะและสัมผัสมือกัน ส่วนท่านโจวเอินไหลนั้น ก็ไม่น้อยหน้าเหมาจู่สี ท่านกำลังนอนป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในโรงพยาบาลมีสายน้ำเกลือสายอ๊อกซิเย่น สายอะไรต่าง ๆ ระโยงระยางเต็มไปหมด - แต่ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งดั่งเดียวกับท่านกวนอูที่หมอฮูโต่ผ่าตัดที่หัวไหล่แบบสด ๆ กวนอูยังนั่งเล่นหมากล้อมพร้อมกลั้วสุราได้อย่างไม่ระคายเคืองนั่นแหละ ท่านโจวเิอินไหล ลุกจากเตียงคนไข้ ปลดสายต่าง ๆ แต่งชุดจงซานเต็มยศ เดินออกมาสัมผัสมือกับอาจารย์หม่อมอย่างทะมัดทะแมง พร้อมกับลงนามในสนธิสัญญาทั้งสองฝ่าย แล้วถ่ายรูปหมู่ มีเติ้งเสี่ยวผิงยืนตัวสั้น ๆ อยู่กลางภาพ (เสียดายที่ไหงไม่มีเครื่องแสกนภาพไม่อย่างนั้นทุกท่านจะได้เห็นภาพถ่ายประวัติศาสตร์ใบนี้) จะเห็นท่านโจวเิอินไหลยืนเด่นเป็นสง่าเคียงข้างอาจารย์หม่อม ขนาบด้วยท่านพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน และเติ้งเสี่ยวผิงซึ่งตอนนั้นกลับมารับตำแหน่งหลังจากถูกเนรเทศ มาเป็นครั้งที่สอง พอคณะของอาจารย์หม่อมกลับเมืองไทยมา ท่านโจวก็กลับเข้านอนโรงพยาบาลต่อ เหมาจู่สีก็กลับไปนอนที่จงหนานไห่ พวกนางเจียงชิงก็กำลังบ้าคลั่ง จอมพลหลินเปียวก็คิดปฏิวัติยึดอำนาจจากเหมาจู่สี แต่แผนแตก จึงพากันขึ้นเครื่องบินหนีไปจนสุดท้ายกรรมติดจรวด ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูก อยู่บนเครื่องบินที่กำลังบินหนี แต่เครื่องดันไปตกที่ทะเลทรายโกบีในเขตมองโกเลียใน ตายทั้งลำ แล้วทีนี้ท่านโจวเอินไหลก็ถึงแก่อสัญกรรม ทั่วทั้งประเทศจีน โศกเศร้ามาก จะเ้ห็นภาพประชาชนจีน ร้องไห้ฟูมฟายตีอกชกลม เกลือกกลิ้งอยู่ตามข้างถนน เปรียดั่งคนไทยร้องไห้ระงงมตอนสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสู่สวรรคาลัยอย่างไรอย่างนั้น ท่านโจวอสัญกรรมเดือนกรกฏาคม ต่อมาเหมาจู่สี ก็ตายตามไปในเดิือน กันยายน แล้วท่านจอมพลยับเกี้ยมยินก็ปฏิวัติกำจัดแก๊งสี่คนได้สำเร็จ พวกเยาวชนเรดการ์ดถูกส่งไปล้างสมองที่บ้านนอก กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ทั่วประเทศยาตราทัพเข้ายึดศาลาว่าการของแต่ละมณฑล แล้วเรียกเติ้งเสี่ยวผิงที่ท่านจอมพลยับส่งไปลี้ภัยที่กว่างโจวกลับมารับตำแหน่งผู้นำสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วท่านเติ้ง ก็รับตำแหน่งเพียงแค่ "ประธารคณะกรรมาธิการการทหารสูงสุด" เพียงตำแหน่งเดียว หลายตำราบอกว่าเติ้งเสี่ยวผิงเป็นประธานาธิบดี เป็นประธานพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี ผิดหมดครับ เติ้งมีตำแหน่งทางพรรค สูงสุดแค่ เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ในสมัยที่ยังไม่เกิดปฏิวัติวัฒนธรรมเท่านั้น ความเก่งกาจสามารถของเติ้งเสี่ยวผิงเป็นที่ยอมรับนับถือของแกนนำสมาชิกคอมมิวนิสต์รุ่นแรกทุกคนตั้งแต่ตอนอยู่ฝรั่งเศสแล้วละครับ แม้แต่เหมาเจ๋อตง ทั้งชอบเติ้ง ทั้งระแวง มีครั้งหนึ่งในการประชุมคอมมิสซาร์ที่กรุงมอสโคว์ เติ้งเสี่ยวผิงได้ไปร่วมประชุมพร้อมกับเหมาเจ๋อตง ประวัติศาสตร์จีนบันทึกไว้ว่า "เหมาเจ๋อตงพูดกับสตาลินว่า เห็นคนตัวเล็ก ๆ คนนั้นไหม นั่นแหละ เติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งต่อไปภายภาคหน้าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินจีน" ถึงแม้ว่า เหมาเจ๋อตุง จะสั่ง ดอง เติ้งเสี่ยวผิง ถึง 3 ครั้ง 3 ครา ด้วยความที่สติแตก แต่ก็เหมือนกับว่าเหมาจะมีญานวิเศษ จนกระทั่งเติ้งเสี่ยวผิง มาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศจีนจริง ๆ แล้วได้ถือโอกาสนำนโยบาย สี่ทันสมัย มาใช้ในทันที ในระยะเวลา 20 กว่าปีที่เติ้งเสี่ยวผิงเป็นผู้นำูสู่งสุด ประเทศจีน เกิดคำว่า "พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน" หมายความว่ามีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทางด้านเศรษฐกิจ มีการสร้างเมืองชายฝั่งต่าง ๆ มีการเปิดเมืองชายฝั่งเพื่อเป็นตัวอย่างในการพัฒนา คือสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ จูไห่(รองรับมาเก๊ากลับมาสู่จีน-จูไห่ติดกับมาเก๊า) เซินเจิ้น(ติดกับฮ่องกง-รองรับการกลับมาของฮ่องกง) ซ่านโถว(ซัวเถา-เมืองชายฝั่งของแต้จิ๋ว-รองรับการกลับมาลงทุนของคนแต้จิ๋วโพ้นทะเล) ทั้งสามเมืองนี้ในอดีตเป็นเพียงตำบลหมู่บ้านชายทะเลที่ทำการประมงเท่านั้น ปัจจุบันนี้จะเห็นว่ามีความเจริญยิ่งใหญ่เชื่อมกันไปหมดจนไม่รู้ว่าอยู่ในเขตของเมืองอะไร และเขต เซี้ยะเหมิน(เอ้หมึง-อยู่ตรงข้ามเกาะไต้หวัน-รองรับการมาลงทุนของจีนไต้หวัน) และเกาะไห่หนาน มณฑลกว่างตง ยกระดับขึ้นมาเป็น มณฑลไห่หนานและเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในตัวเองทั่วทั้งเกาะรองรับการกลับมาลงทุนของ ชาว"เด่งหนั่งหรือไห่หน่ำหนั่ง"ทั้งหลาย แล้วบั้นปลายของชีวิต เติ้งก็ได้เดินทางไกลเลาะชายฝั่ง มาตรวจความเจริญ จนกระทั่งมายืนอยู่ที่ชายแดงเซินเจิ้ง-ฮ่องกง ซึ่งอีกปีกว่าจะคืนกลับมาสู่อ้อมอกของแผ่นดินใหญ่เติ้งยืนมองดูฮ่องกง(ซึ่งในอดีตสมัยสงครามเติ้งเ้ข้า-ออกฮ่องกงเป็นว่าเล่น) พร้อมกับคณะผู้ติดตามและเหมาเหมาหรือเติ้งหยง ลูกสาวคนโปรด พร้อมทั้งกล่าวว่า "ไหง่โอ้ย จ้อนหล่อง ฮียงกั่ง หน้ามอ ฮี-ยงกั่ง จ้อนหล่อยเฮ้จ๋งเกว่ด เก๊"-*ฉันจะกลับมาฮ่องกง หากถึงวันที่ฮ่องกงกลับสู่อ้อมอกของผืนแผ่นดินจีน--แล้วเติ้งเสี่ยวผิงก็ได้มาร่วมพิธีส่งมอบฮ่องกงจริง ๆ ไหงยังดูพิธีการถ่ายทอดสดอย่างยิ่งใหญ่และสะใจอังกฤษมาก ๆ และด้วยความเสียในไปพร้อมกับมาดามจั๋วหลินและเติ้งหย่ง ที่ยืนร่วมพิธีด้วยน้ำตาไหลพรากและมือถือป้ายวิญญานของ เติ้่งเสี่ยวผิง-วิศวกรผู้พัฒนาประเทศจีนให้เจริญทันสมัย-เป็นสมญาที่ชาวจีนทั้งประเทศเรียกท่านว่า "วิศวกรเติ้ง" นับว่าเติ้งเสี่ยวผิง เป็นคนเอาแนวความคิดที่ร่วมกันสามคน กับ โจวเอินไหล หลิวส้าวฉี และตัวเอง มาใช้จนเกิดผลสำเร็จอย่างที่เราเห็นอย่างในทุกวันนนี้ที่ประเทศจีนตอนนี้ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่เทียบเท่าอเมริกา แซงรัสเซียไปแล้ว และทางเศรษฐกิจ ได้มีความเจริญยิ่งใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากสหรัฐอเมริกา โดยแซงหน้าญี่ปุ่นไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว อย่างเป็นทางการ และประเทศจีนเป็นประเทศเดียวในโลก ที่มีเงินดอลล่าร์อเมริกามากที่สุดในโลก - มากจนกระทั่้งอเมริกาพยายามทั้งขอร้อง ทั้งบีบ ทั้งอ้อนวอน ให้จีน เพิ่มค่าเงินหยวน เพื่อเศรษฐกิจของอเมริกาจะได้ฟื้นขึ้นมาบ้าง แต่อย่างไรเสีย จีนก็ไม่สามารถสั่งได้ เพราะกูใหญ่กูรวยเสียอย่าง อเมริกาจึงได้แต่มองตาปริบ ๆ อีตาอลัน กรีนสแปน มหาบุรุษด้านเศรษฐศาสตร์และอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติอเมริกาได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับพูดกับโอบาม่าว่า "เราคงต้องพิมพ์แบงก์ดอลล่าออกมามาก ๆ แล้วว่ะไอ้หลานเอ๋ย..."
หมายเหตุ-ไหงกลับมาพิมพ์ต่อจนเสร็จ แล้วลืมตัวไปกดเอ็นเทอร์มันจึงหายไปหมดแต่ได้แก้ไขโดยการกลับไปคัดลอกลงเวิร์ดแล้ว จะขอนำมาลงเ็ป็นสตอรี่ยาวดีกว่าเพราะเขียนไปแล้วชักจะมันส์-สินฝ่า
ทั่วโลกตะลึง ! จีนสร้างตึก 15 ชั้นใน 2 วัน
Ark Hotel Construction time lapse building 15 storeys in 2 days
Level 9 Earthquake Resistance: diagonal bracing structure, light weight,
steel construction, passed level 9 earthquake resistance testing
6x Less Material: even though the construction materials are much
lighter(250kg/m2) than the traditional materials(over 1500kg/m2), the floors
and walls are solid with surefootedness, airtight and sound-proofing
5x Energy Efficient: 150mm thermal insulation for walls and roofs, triple
glazed plastic windows, external solar shading, heat insulation, fresh
air heat recovery, LED lighting, yearly HAVC A/C energy consumption
equivalent to 7 liters oil.
20x Purification: after 3 levels of purification, the purification efficiency
for fresh air reaches 95%-99.9%; air exchanged 1-2.5 times per hour, and
indoor air is 20x cleaner than out door air
1% Construction Waste: all components are factory made, construction
waste, mainly package materials, result from on site set-up only and
amount to 1% of the total weight of the building.
This is the first building in human history which combines almost all
environmental friendly, comfortable and secure elements. So, we call it:
Sustainable Building
โรงแรม The Ark Hotel ตั้งอยู่ในเมืองฉังซา มณฑลหูหนัน ใช้เวลา 46 ชม.ในการลงเสาก่อสร้างโครงสร้างอาคาร และอีก 90 ชม. สำหรับงานปูพื้นและผนังอาคารภายนอกและภายในทั้งหมดทุกห้อง รวมทั้งฉาบผิว ทาสี ติดตั้งส่วนประกอบภายในอาทิ ประตู หน้าต่าง โดยอาคารโรงแรม 15 ชั้นหลังนี้ มีระบบฐานราก (Foundation) อยู่แล้ว และก่อสร้างขึ้นไปด้วยระบบแผ่นพื้นสำเร็จรูป (Prefabricated) ด้วยเทคนิคทางวิศวกรรมสมัยใหม่ การก่อสร้างอาคารฯนี้ สร้างเสร็จเร็วกว่าการก่อสร้างแบบเดิมๆ ซึ่งงานขนาดนี้ น่าจะใช้เวลาเกินกว่า 1 ปี หรือผู้รับเหมาบางรายอาจถ่วงไปถึง 4 ปี!
การ ก่อสร้างด้วยวิธีใหม่นี้ นอกจากรวดเร็วแล้ว ยังประหยัดวัสดุ 6 เท่า ประหยัดพลังงาน 5 เท่า ช่วยขจัดความสิ้นเปลืองและของเสียได้ 20 เท่า โดยมีขยะจากการก่อสร้างเพียง 1 เปอร์เซนต์ และที่สำคัญสามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้สูงถึง 9 ริกเตอร์
ทั้งนี้ ชั่วโมงทำงานนี้ ไม่นับตอนหยุดพักงานซึ่งแต่ละกะจะทำไปจนถึงเวลา 4 ทุ่มเท่านั้น และไม่มีคนงานคนใดได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากการทำงาน
อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นการก่อสร้างอาคารแบบใหม่ที่รวมเอาทั้งความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวโน้มของงานวิศวกรรมอาคารในอนาคต
จีนทดสอบรถไฟที่วิ่งเร็วสุดในโลก
อัจฉริยะภาพของจีน
สะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดของโลก
ดร.เฉียน วิศวกรผู้ยิ่งใหญ่ของจีนและอเมริกา
จีนเจ๋งสร้างสะพานยาวที่สุดในโลก ลบสถิติของสหรัฐ
จีนเจ๋งสร้างสะพานยาวที่สุดในโลก ลบสถิติของสหรัฐ สุดแกร่งไม่หวั่นภัยธรรมชาติ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า จีนได้สร้างสะพาน"ชิงเต่า ไฮ่วาน"ในเมืองชิงเต่า รัฐชานตุงด้วยความยาวเป็นระยะทางกว่า 26.4 ไมล์ เหนือกว่าสะพานข้ามทะเลสปาพอต์ชาร์ทเทรน คอรส์เวย์ ในรัฐหลุยเซียน่าของอเมริกา โดยสะพานแห่งนี้ถือเป็นจุดเชื่อมระหว่างท่าเรือชิงเต่าที่กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจ ทางภาคตะวันออกของจีน กับเมืองหวังเต่า
รายงานระบุว่า สะพานแห่งนี้ สร้างด้วยงบประมาณ 5,500 ล้านดอลลาร์ ใช้ระยะเวลาการสร้างเพียง 4 ปี เป็นสะพานถนนหกเลน สร้างโดยใช้วิศวกรจีนล้วน ๆ ด้วยกลุ่ม"ชานดุง เกาซู กรุ๊ป"ใช้คนงานจำนวนกว่า 1 หมื่นคน สร้างสะพานสายนี้ ตลอด 24 ชม.จากปลายสะพานด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง และประเมินว่า จะสามารถรองรับรถยนต์ได้เป็นจำนวน 30,000 ต่อวัน และสามารถลดระยะทางการเดินทางระหว่างเมืองชิงเต่าและเมืองหวังเต่า เป็นระยะเวลา 20-30 นาที
สะพานแห่งนี้ยังสร้างด้วยเหล็กจำนวน 450,000 ตัน ซึ่งหากเทียบแล้วสามารถใช้สร้างหอไอเฟิลของฝรั่งเศสได้กว่า 65 หอ และใช้คอนกรีตเป็นจำนวน 2.3 ล้านลูกบาศก์เมตร เทียบเท่ากับสระว่ายน้ำขนาดกีฬาโอลิมปิกเป็นจำนวน 3,800 แห่ง
นอกจากนี้ สะพานแห่งนี้ยังแข็งแกร่งพอที่จะรองรับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวขนาด 8 ริกเตอร์,พายุไต้ฝุ่น หรือการพุ่งชนของเรือที่มีน้ำหนัก 300,000 ตัน
ทั้งนี้ สำหรับเมืองชิงเต่า ถือเป็นเมืองที่มีการขยายตัวเติบโตรวดเร็วที่สุด ด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจราว 16 % ต่อปี
อ้างอิงจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1294643574&grpid=&catid=06&subcatid=0600
ไห่หนาน แอร์ไลน์ส ถูกจัดให้เป็นสายการบินระดับ 5 ดาว
จีนจะสร้าง "มหานคร" ใหญ่สุดของโลก รองรับประชากร 42 ล้านคน
หนังสือดีที่ทั่วโลกยอมรับ "The Genius of China"
ปักกิ่ง ศูนย์กลางพลังฮวงจุ้ยโลก
แน่ใจนะ ว่าคล้าย "ยานอวกาศ”
ใช่เลย Tulou ชัดๆ
สถาปัตยกรรมอันคลาสสิคของภูมิปัญญาของคนฮากกา ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันภัยจากการถูกชิงปล้นทรัพย์สินหรือถูกทำร้ายจากคนท้องถิ่น ซึ่งผู้อพยพไปอยู่ใหม่ๆต้องระมัดระวังป้องกันตัวเอง เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยไปได้
ไหง่เป็นคนที่ชอบติดตามเว๊บบร๊อกของโอเคเนชั่นดูทุกวัน ซึ่งท่านสินฝ่าก็เป็นเว๊บบร๊อกในนี้ด้วย พอดีไปพบเรื่องเกี่ยวกับถู่โหลวจึงอยากนำมาให้ได้ทัศนากันครับ
http://www.oknation.net/blog/buzz/2011/06/13/entry-1
ภาพเขียนพู่กันจีนราคา 1,900 ล้านบาท!
อภิมหารีสอร์ต
ทางด่วนในเปยจิ่ง ของจีน #ExpressWay #Beijing #China
ประเทศจีน เป็นประเทศที่มีระเบียบวินัยสูงมากในการขับรถยนต์ แสดงให้เห็นได้ด้วยทางด่วน แห่งหนึ่งของมหานครกรุงเป่ยจิ่ง ของประเทศจีน ว่ามีการพัฒนาและออกแบบให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย คล้อยตามปรัชญาน้ำของเต๋า ซึ่งไหลลื่นดี มีปัญญาญาณ ไหงจึงไม่แปลกใจว่าสภาพการจราจรของจีน ทำไมจึงไม่ติดขัด ชัดเจนแล้วครับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=546794915368757&set=a.318026048245646.69594.169790939735825&type=1&theater
中國科技史 = 中国科技史
http://unesdoc.unesco.org/images/0008/000817/081712eo.pdf