หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

นั่งเทียนเขียน

เมื่อปีกลายผมเดินทางไปไหว้บรรพชนที่จีน มีญาติท่านหนึ่งอายุ 89(ปีเถาะ)ให้ช่วยตามหาอาคิ้วที่เจียงซี (江西) ซึ่งผมเรียกว่าคิ้วกุ้ง ผมรับปากแล้วหาข้อมูล จากหน้าจดหมายอยู่ 江西省 宁都縣 黃陂鎖 大灣里 邮342809 มีรหัสไปรษณีด้วย คงตามหาไม่ยาก เมื่อถึงท่องคัง(湯坑) ให้ญาติที่ประเทศจีนเหมารถตู้ โดยตกลงค่ารถวันละ 1 พันหยวนรวมค่าน้ำมัน เราออกรถ 6 โมงเช้า ไปเจียงซี(江西省) แวะกินข้าวเช้าข้างทาง ถึงก้านโจว (贛州市) ประมาณ 170 กม. พักหาอะไรลงท้อง แล้วไปหนิงตูอีก 162 กม. จากนั้นต่อไปตำบลหวังผี (黃陂鎖) อีก 48 กม. ลงไปถามชาวบ้านถามหมู่บ้านถังเซี่ย(塘下村) แล้วไปชุมชนต้าวานลี่ (大灣里) กว่าจะถึงก็ใกล้ค่ำแล้ว นั่งรถอย่างทรหด เป็นถนนสายเลิี่ยงเมือง ไม่มีทางด่วน อาสุกอายุ89 เก่งมาก นั่งไปได้สบาย และแวะพักกินตลอดทาง พอถึงบ้านคิ้วกุง ต่างคนต่างดีใจเพราะไม่ได้เจอะเจอกันเกือบ 40 ปี คิ้วกุ้งก็อายุ 80 ต้น มลฑลเจียงซี ใช้ภาษาปั้นซันขักได้ และเขตปกครองก้านโจว ภาษาปั้นซันขักใช้ได้ไม่เคอะเขิน ยิ่งมาถึงอำเภอ หนิงตู พุดปั้นซันขักไม่อดตาย ยิ่งทั้งตัวตำบลและหมู่บ้านปั้นซันขัก คนปั้นซันขักควรจะภูมิใจว่า ภาษาปั้นซันขัก ไม่ใช่อยู่ที่ฟุ้งสุ่นอย่างเดียว

♣ เมื่อ 3 ปีก่อน ผมไปเยี่ยมบ้านเจี้ยผอ(คุณยาย)ท่านอยู่ที่อำเภอเก็ดซี (揭西縣) ตำบลฟอยไฉ่ (灰寨) คุณยายเป็นคนเซี่ยงลี่ (李) ส่วนเจี้ยกุ้ง(คุณตา) อยู่ตำบลเดียวกัน คุณตาเป็นคนเซี่ยงวุ้น(溫) อยู่หมู่บ้าน เซี่ยวปี้หยอง (小坡洋) สองตระกูลนี้ถือว่าเป็นหมู่บ้านใหญ่มาก คนเซี่ยงลี่(李)และเซี่ยงวุ้น(溫)น่าจะภูมิใจมาก และเป็นคนปั้นซันขักทั้งหมด จากหมู่บ้านฟอยไฉ่ไปหลายสิบกิโลเมตร มีหมู่บ้านใหญ่ หมู่บ้านฉองท้าน(長灘鄕)เป็นหมู่บ้านของเซี่ยงฉิน(陳) หมู่บ้านนี้มีโรงแรมชั้นหนึ่งเรียกว่า 6-7 ดาว และมีสนามกอฟอย่างสวยงาม เป็นของเศรษฐีมาเลเซีย มีเศรษฐีคนไทยซื้อภูเขาหลายลูก สร้างรีสอร์ทสวย หมู่บ้านนี้เป็นของคนปั้นซันขัก

♦ ฉะนั้น คนปั้นซันขัก ควรจะภูมิใจที่เราเป็นปั้นซันขัก คนปั้นซันขักเป็นคนที่ไม่ลืมบุญคุณแผ่นดินเกิด เมื่อมีฐานะดีก็ส่งเงินเข้าหมู่บ้านตนเอง สร้างโรงเรียน สร้างสะพาน สร้างศาลบรรพชน ไม่ว่าอยู่ทีไหนก็จงภูมิใจ ในชนชาติของเราไม่ต้องอายใคร

นี่คือเรื่องจริงที่ไม่ต้องไปเอาของใครมาอ้างอิง (คำว่าดอกเตอร์ สำหรับผม ก็คือเนื้อก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งในหม้อแกงยักษ์ ผสมด้วยใบไม้และผักเป็นข้ออ้างอิง ขอโทษด้วยความรู้ผมน้อยไม่ค่อยเข้าใจความหมาย) และนี่คือการนั่งเทียนเขียน อาจจะไม่ถูกใจใคร เพราะไม่มีตำราอ้างอิง ความจริงเรื่องของคนปั้นซันขัก ควรจะเป็นของคนปั้นซันขักตอบ ผมเห็นมาหลายปีมันคันปาก ตอนนี้ถือว่าเกษียญตัวเองแล้ว อยากเข้ามาลองเล่นดู ว่าคนนั่งเทียนเขียนอาจจะขลังก็ได้


คนนั่งเทียนเขียน 2

สมัยก่อนคนจีนจะหนีภัยจากการปล้นแย่งชิง   ภัยจากความอดอยาก   ค่าชีวิตของคนใม่ค่า  คนที่ตายก็ตายฟรี  เรียกร้องอะไรไม่ได้  ประเทศกำลังเปลี่ยนขั้ว  วุ่นวายจารจลอย่างมาก  คนที่มีเงินก็หนีตายอพยพย้ายถิ่นฐาน  จุดแรกที่ทุกๆท่านอยากมาก็คือประเทศไทย  คนมีเงินก็ลงเรือที่ซัวเถา  คนที่ไม่มีเงินก็เดินด้วยเท้า (อย่าเพิ่งตกใจว่าเป็นไปได้หรือไม่) คนนั่งเทียนเขียนคงไม่โม้  อาป๊าผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เดินด้วยเท้ามาถึงเมืองไทย

♣ เมื่อ 80 ปีก่อน ครอบครัวอาป๊ายากจนมาก  ประเทศจีนเป็นช่วงกุลียุค  งานก็หาทำไมไม่ได้  อาหารการกินก็ไม่มี สมัยก่อนต้องตื่นแต่เช้ามืด  ไปแย่งกันขุดหัวเผือกหัวมัน มาต้ม  ข้าวสารก็หายากมากราคาแพงมาก คนจนๆไม่มีสิทธิ์ที่จะกินข้าวสวยได้  ต้องเอาหัวเผือกหัวมันมาต้มแล้วโรยเม็ดข้าวสาร ต้มเป็นข้าวต้ม ให้หัวเผือกหัวมันอืดเต็มหม้อ  อย่าคิดว่าเขาอยากกิน  เป็นอาหารจานเด็ดของเขา แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก  เพราะแต่ละครอบครัวก็มีลูกหลายคน  บางครอบครัวเลี้ยงไม่ไหวต้องอุ้มยกให้คนอื่น  ถือว่าเป็นเรื่องปกติของที่นั่น (หลายปีก่อน ไปกินข้าวบ้านญาติๆเขาผัด ฟันสูยับ(ฟันสูยับ-มาจากต้นมันประเภทหนึ่งที่มีหัวเล็กๆ  แต่มีใบมาก ปลูกง่ายมากขึ้นเร็ว))มาให้กิน พวกเราบอกว่าอร่อยมาก เขาบอกว่าพวกเขากินมาตลอดชีวิตแล้ว ผมยังเอาต้นมาปลูกที่เมืองไทย ยามที่เยี่ยมคนเฒ่าคนแก่ ยังเด็ดไปฝากทุกครั้ง

♦ ตอนที่อาป๊า อายุย่าง 18 ปี  อาไถ่ปัก(ลุงใหญ่) พี่ชายของอาป๊า จะเอาผัก และเผือกมัน ไปแลกข้าวเปลือก ซึ่งต้องหาบไปเมืองอื่นครั้งละหลายๆวัน  ถูกโจรชิงข้าวของฆ่าตาย  ประจวบที่อากุ้งเข้ามาเมืองไทยก่อนอยู่แถวสุพรรณปลูกใบยาสูบ ก็ถูกโจรทุบตาย   อาม่าร้องไห้เป็นสายเลือด เพราะสามีและลูกชายคนโตมาตายพร้อมๆกัน  อาม่าจะตื่นมาและร้องไห้จนสลบทุกวัน  เมื่อสองผู้นำครอบครัวตาย  ที่บ้านก็จนแสนจน  อาป๊าจะไปเมืองไทยเอากระดูกอากุ๊งกลับมาก็ไม่มีเงินค่าเรือ  จนกระทั่งสพโอกาส  วัยรุ่นในหมู่บ้านและพวกแซ่อื่นรวมหัวกันเกือบร้อยคน ชวนเดินด้วยเท้าเปล่าไปประเทศไทย

♦ เมื่อได้กฤษนัดหมาย ตระเตรียมเสบียง เช่นข้าวสาร หม้อดิน และผ้าห่ม เริ่มลุยป่า    เส้นทางเดินต้องเดินย้อนไปทางมลฑลกวางสี(广西省) เพราะมลฑลกวางสีมีชายแดนติดทางเวียดนามเหนือ  จากมลฑลกวางสีไปเวียดนาม เป็นป่าใหญ่หนาทึบ กลางวันเดินป่าก็ต้องใส่เสือ้ผ้าแขนยาวขายาว  เพราะมีทากดูดเลือดเต็มไปหมด  กลางคืนก็ต้องจุดไฟ เป็นกองๆ เพื่อกันสัตว์ป่า  คณะร่วมเดินทางถูกเสือลากกินไปหลายคน  สามวันแรก พวกเขาก็ทำหม้อดินที่นึ่งข้าวแตกหมด  ต้องใช้ใบตองใบไม้มาหุงแทน  แล้วหาผลไม้ รากไม้  หน่อไม้มากินปะทัง  บางคนเป็นไข้จับสั่นตาย ต่อหน้าต่อตา  ป๊าบอกว่า  หัวหน้าคนนำทางให้สละเพื่อนๆที่ไปไม่ไหว หรือเป็นไข้ป่า  เพราะตัวเองก็ยังเอาตัวไม่ค่อยรอด  ต้องปีนไต่เขาสูงชัน บางทีก็ต้องว่ายน้ำข้าม อุปสรรคมากมาย  กว่าจะทะลุออกจากป่าได้  ป๊าบอกว่าใช้เวลาเดือนกว่า  ลำบากยากเข็ญมาก  เมื่อถามป๊าว่าเข้าเวียดนามด้านไหนท่านก็ตอบไม่ถูก  แล้วต่างคนก็หางานแถวท่าเรือ จะเป็นไฮฟงหรือ  ไม่แน่ใจ  ทำงานได้พอสะสมเป็นค่าเสบียงค่าเดินทาง ก็เดินทางต่อ แต่ไม่ต้องเดินแล้ว  ส่วนมากนั่งเรือต่อ  ไปเมืองท่าใหญ่ๆ  หางานทำต่อเพื่อสะสมเงิน  บางท่านมีความสุขกับการกินอยู่  และไม่มีจุดหมายปลายทาง  ก็จะปักหลักอยู่ที่นั่น  เพราะยังไงชีวิตการเป็นอยู่ก็สุขสบายกว่าอยู่ที่ท่องคัง  อาป๊าบอกว่ามาทำงานที่ไซ่ง่อนนานหน่อยหลายเดือน  เพราะไซ่ง่อนเป็นเมืองมีความเจริญเพราะฝรั่งมาพัฒนาได้  เพื่อนหลายคนหลงเสน่ห์สาวเวียดนาม และมาปักหลักอยู่ไซ่ง่อน  อาป๊าก็ต้องเดินทางต่อ  โดยข้ามด่านเขมร  ไปหางานที่พนมเปญสักพัก  แล้วเดินทางมาที่จังหวัดพระตะบอง  พวกเขาคิดว่าเป็นเมืองไทย  อยู่กันนานหลายเดือน  เพื่อนสนิทก็ไม่ไปต่อมีครอบครัวที่พระตะบอง  เมื่อแยกทางเข้ามาทางแปดริ้วเข้ากรุงเทพฯ  โดยนั่งรถไฟเข้ามา  ต้องหลบหลีกตม.มาตลอด  ภาษาไทยก็ไม่เป็น  ป๊าผมมีจุดหมายมาหาญาติที่คลองเตย  ส่วนกลุ่มเซี่ยงใช่ (蔡) หล่ำเถียนบางท่าน ร่วมเดินทางก็มีจุดหมายที่คลองเตย  ต่างคนต่างก็มีโพยที่อยู่   กลุ่มเซี่ยงไช่(蔡)มีโพยแผนที่ มาหา 鴻發兴 เจ้าของชื่อ 蔡傳森 80 ปีก่อน เขามีโรงงานฟอกหนังที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีที่ดินตั้งโรงงานเป็น 10 ไร่  มีโรงงานทอผ้า ปั่นด้าย  คนเซี่ยงไช่(蔡) ที่มาฝึกงานที่นี่ ปัจจุบันลูกหลานเป็นมหาเศรษฐี 2-3 รุ่นแล้ว จากอุตสาหกรรมที่เขามาฝึกจากที่นี่  ส่วนป๊าผม และคนเซี่ยงฉินที่ซักฝู(石湖)  จะมีโพยมาที่คลองเตย 同泰兴  เซี่ยงฉินอีกหลายส่วนมาเข้าเมืองกาญจนบุรี ชุมนุนที่ลูกแกบ้าง ขยายมาห้วยกระบอกบางส่วน  อีกส่วนหนึ่งก็ลงใต้แถวสุราษฎร์  เซี่ยงฉินที่ลูกแก หลายคนพัฒนาจากทำสวน จนมาทำวงกบไม้ และขยายเข้ากรุงเทพฯ สร้างอุตสาหกรรม  จนลูกหลานเป็นเศรษฐีมากมาย

♦ เหตุการณ์ที่อาป๊าผมเดินทางอย่างอุตสาหะ ยอมรับว่าทรหดจริงๆ  เพราะความไม่มีเงินค่าเรือ จุดมุ่งหมายคือจะเอากระดูกของอากุ๊งกลับไปเมืองจีน  แต่หารู้ไม่ว่า  อาม่าที่เมืองจีน พอรู้ข่าวลูกชายคนที่ 2 หายไป ยิ่งร้องไห้เป็นสายเลือด จนทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้าง   อาป๊ามีมานะจนสร้างฐานะ  สร้างฮวงซุ้ย บนเขาสูง  ต้องข้ามเขา 3 ลูก  สูงมากและทิวทัศน์สวยมาก  เมื่ออาม่าหมดอายุไข อาป๊าก็นำอัฐิอากุ๊งกลับไปฝังรวมกับอาม่า  และซื้อที่สร้างบ้านให้หลานๆ ส่งอาสุก(น้องชายคนเล็ก)ให้เรียนจนจบวิศวะ และยัง ส่งหลานๆเรียนเข้ามหาลัย ในช่วงคอมมิวนิสต์  จนหลานหลายๆคนได้ดิบได้ดี  เป็นหมอ  เป็นนายธนาคาร ฯ  ตั้งแต่สมัยคอมิวนิสต์ยอมเปฺิด  พรมแดนให้เข้าไป  อาป๊าจะไปทุกปี ซื้อของใช้เครื่องไฟฟ้าเกินโดรต้าไปให้ทุกครั้งที่  ถ้ามีโอกาสนำเข้าไป   อาป๊าเป็นคนที่ไม่ลืมแผ่นดินเกิด  ทั้งๆใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยมากกว่า  สอนให้เรารู้ถึงบรรพชน  ชาติกำเหนิด คนปั้นซันขัก โดนกีดกันจากทุกถิ่นฐาน  ขนาดย้ายมาอยู่หลังเขาแล้ว  ยังโดนกีดกัน   ช่วงอายุ 60 กว่า ป๊าก็เริ่มเที่ยวจีนทุกที่ๆมีคนชวนไป  ไม่ว่า มงโกลเลีย ธิเบต  ทรานไซบีเรีย  ไม่ว่าจีนจะเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ป๊าผมก็ต้องมีเอี่ยวด้วย ขอให้มีเพื่อนชวนไป   ช่วงอายุ 70 กว่า  อาป๊าจะไปเมืองจีนบ่อยมาก  บางทีก็ชวนอาเม ไปกัน 2 คน ไปเยิ่ยมหลาน  ที่อยู่ต่างถิ่นต่างเมือง  ไปอยู่ 7-10 วันก็กลับ   อาป๊าเป็นคนมีความมานะ  สามารถพูดจีนกลางได้ กวางตุ้ง  และอ่านเขียนภาษไทยได้  ท่านจึงไปไหนไม่อดตายพูดจาหากินได้คล่อง  ท่านยังชอบเปรียบเปรย ว่าอาป๊าเรียนจีนแค่ 2 ปี ยังพูดได้หลายภาษา

 ♦ ช่วงที่เราหุ้นเปิดสายการบิน CAMBODIA AIRLINES (20 ปีก่อน)  และเป็นสายการบินอันแรกของเขมรในรอบหลายสิบปี(ตอนนี้เขมรยึดกลับไปทำเอง) อาป๊าเคยขอให้ผมมาหาญาติๆที่เขมร  ผมก็พาไปพนมเปญ  กำปงสม(ท่าเรือ)  และพระตะบอง  ที่พระตะบองท่านยังจำหลายๆอย่างได้  เพราะท่านแอบมาหาเพื่อนๆ  สมัยรัฐบาลลอนนอล อยู่บ่อยครั้ง  เคยจุนเจือเพื่อนๆหลายคน  เคยจ้างทหารนำญาติๆฝ่าแดนเข้าประเทศไทยสมัยรัฐบาลพอลพต(เขมรแดง)  ท่านเป็นคนที่รักสีรักญาติมาก  รักมากกว่าลูกหลาน  ช่วงนั้นเคยขอยืม 2 ล้านเหรียญมัดจำเครื่องบิน ท่านไม่ยอมให้  แต่ญาติที่เมืองจีนขอยืมเท่าไรก็ได้  ญาติหลายคนหาเรื่องมาเที่ยวไทย  โดยทางเราต้องโอนเงินมัดจำคนละ ห้าหมื่นบาทให้เขา ( และเงินมัดจำก็ไม่เคยคืนเลย )

♦ สิ่งที่กล่าวมานี้  เป็นการนั่งเทียนเขียน  ไม่มีหลักฐาน  ไม่ต้องอ้างศาสดาจานท่านใด  เพราะผมนั่งเทียนเขียนเอง

♦ และจงจำไว้ว่า  คนปั้นซันขัก  มีศักดิ์มีสี  สีเลือดที่เข้มข้น  ไม่ว่าเซี่ยงอะไร  และไม่ใช่เห็นใครมีเกียรติมีฐานะ  ก็บอกว่า "เรา 客家人 เหมือนกัน"  ถ้าคนที่แย่หน่อยว่าเขาว่า "福佬客"

รูปภาพของ อิชยา

น่าสนใจ

ก่อนอื่นไหง่ขอเรียกว่าอาคิ้วฉิน (หวุ่ยหมิน) นะค่ะ

ประวัติเรื่องเล่านี้น่าสนใจมาก  จะขอถามเกี่ยวกับ ช่วงที่ทำกิจการ Cambodia Airline  เมื่อยี่สิบปีก่อน     ว่าไปมายังไงจึงได้ทำกิจการสายการบินที่กัมพูชาได้ค่ะ? .. 

นั่งเทียนเขียน 3

ตอนเข้าไปกัมพูชาเป็นสมัยรัฐบาลเฮงสัมริน  โดยมีนายกฮุนเซนเป็นผู้บริหาร   อากูช้องไหงชี้แนะ  สมัยก่อนที่เขมรแดงเข้ายึดครอง  เค้าเคยมีห้างสรรพสินค้าอยู่ที่พระตะบองแต่ต้องหนีภัยสงคราม  และกูช้องมีเพื่อนชวนไปทำหนังที่พนมเป็น  

ครั้งแรกน้องชายไปดูลาดเลา 3 ครั้ง  เจรจาไม่ได้ผล  เพราะน้องชายพูดแต่ภาษาอังกฤษ คนเขมรฟังไม่รู้เรื่อง  ช่วงที่ไปนั้น  คนเขมรถนัดภาษาฝรั่งเศส  และคนจีนก็พูดได้แต่แต้จิ๋ว  ภาษาแต้จิ๋วที่นั่นเป็นภาษาที่แน่นกว่าคนเยาวราชพูด   ครั้งที่สี่ขอร้องไหงไป  ตกลงไหงยอมไป  แต่การเดินทางแสนลำบาก  ช่วงนั้นเวียดนามเพิ่งเปิดประเทศไม่นาน  ต้องนั่งเครื่องไปลงเวียดนาม  แล้วต่อด้วยรถยนต์เข้าเขมร  ระหว่างทางต้องนั่งโป๊ะข้ามแม่น้ำเชื่อมเวียดนามกับเขมร โป๊ะของเขาในช่วงแรก เหมือนเรือหางยาวพาดกระดานยืนไป 2 ข้าง  พอรถเก่งขึ้นได้  เวลานั้งอยู่ในรถที่เรือกำลังแล่นอยู่  แทบไม่กล้าหายใจ  กลัวจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง  เพราะสะพานขาดสมัยเขมรแดง  

เมื่อไปเจรากับพ่อค้าคนจีนที่นั่นเป็นหุ้นส่วนกัน  ไหงเจรจาเป็นภาษาจีนกลาง (เพราะไม่สัดทัดภาษาแต้จิ๋ว )  เมื่อตกลงกันแล้ว  เขาก็พาไหงไปชมโรงงานฟอกหนัง  ที่รัฐบาลยึดมา  ต้องตกใจ  เมื่อ 40 ปีก่อน  เขมรก้าวนำหน้ากว่าเมืองไทยหลายก้าว  เครื่องบางตัว โรงงานเมืองไทยไม่กล้านำเข้ามา  แต่ของเขาสั่งจากเยอร์มันมามากมาย  ถ้าประเทศของเขาไม่มีภัยสงคราม  เขมรนำหน้าเราหายห่วงเลย  เพราะประชากรของเขามีศักยภาพที่ใช้ได้  ขนขวายหาความรู้ใส่ตัว  เฒ่าแก่คนไทย  เขาก็พยายามเรียนไทยให้มาสื่อสารกับเราได้  คนเขมรหลายคนสามารถพูดจีนกลางฟังเข้าใจได้  ทั้งๆที่ไม่ใช่ลูกคนจีน  

ไหงไปอยู่ปีแรกไปมาเมืองไทยลำบากมาก  ต้องผ่านเวียดนาม แต่เขามีค็อปเตอร์บินจากพนมเปญไปเกาะกง  แต่เชื่อไหมว่า ค็อปเตอร์เขาลำหนึ่ง  สามารถจุผู้โดยสารได้ 50 คน และสัมภาระสินค้าต่างๆ อีก  ไหงไม่กล้านั่ง  ส่วนทั้งปอยเปต  เป็นเขตของเขมรแดง  ไปมาหาสู่กันไม่ได้  

ปีแรกที่เข้าไปอยู่ พอเช่าโรงงานฟอกหนังได้ 1 โรง  รู้สึกค่าเช่า 1,000. ยูเอสดอลล่า   รัฐมนตรีอุตสาหกรรมเขาพาไปดู  โรงงานทอผ้า  2 โรงใหญ่ๆ  โรงแรกปั่นไฟใช้เอง  เครื่องปั่นไฟของเขาใหญ่กว่า เครื่องปั่นไฟที่วัดเรียบเสียอีก    พอไปดูโรงทอผ้าที่ 2 เป็นโรงทอผ้า ขาวม้าแบบชาวเขมรคาดหัว  แต่ไปดูเครื่อง  เขามีเครื่องย้อมสีคอมพิวเตอร์  ซึ่งช่วงที่ผมไปดู  เมืองไทยมีเครื่องย้อมสีคอมพิวเตอร์ไม่เกิน 3 เครื่อง  และเขามีเครื่องนี้ ก่อนเรา 20 ปี  ยอมรับอดีตนักธุรกิจคนจีนที่นี่  มีความสามารถและกล้าลงทุนเครื่องจักร  และถ้าผมเล่าต่อไปคงจะยาวมากกว่านี้  ความน่าทึ่งนักธุรกิจคนจีนที่เขมร  กล้าลงทุน ถ้าเขมรไม่มีสงคราม  ป่านนี้เราตามไม่ทัน เพราะประเทศไทยก็ปฏิวัติบ่อยมาก            

ไหงเข้าไป ตอนนั้น สีหนุยังไม่กล้าเข้าเขมร  ยูเอ็นก็ยังไม่มี  นักธุรกิจที่เข้าไป  มีคนสิงค์โปร  มาพร้อมเรือสินค้า  คนไทยที่มาจากเกาะกง  กลุ่มไหงเข้าทางเวียดนาม  จากการเช่าโรงงาน 3 แห่ง  ก็เลยเนื้อหอมมาก  รัฐมนตรีต่างประเทศสมัยนันถือว่าอัธยาศัย  ดีมาก ไหงเลยเกิ่นเรื่องสนามบิน  วันรุ่งขึ้นทางรัฐบาลพาไปดู  ซึ่งเป็นสนามบินร้าง  ไม่ค่อยได้ใช้งาน  ลู่วิ่งสั้นไม่ยาวประมาณ 3000 เมตร ผิวยางมะตอย♦  ลู่สนามบิน  วิศวะกรฝรั่งเศสทำไว้แข็งแรงมาก เครื่องบิน 737 พอลงได้แต่ต้องชำนาญ ทางรัฐบาลเขมรอยากหาคนมาริเริ่มก่อน  เพราะอยากให้มีสายการบินในประเทศเขา  โดยเราเสนออะไรเขาให้สิทธิทุกอย่าง ก็เลยให้น้องชายมาปรึกษากับผู้ใหญ่ในเมืองไทย  ว่าจะเปิดเที่ยวบินลงสนามบินโปเชนตง  เมื่อตกลงกับรัฐบาลเขมรให้ปรับปรุงสถานที่  พวกเราก็เช่าเครื่องพร้อมคนขับที่อเมริกา เปิดเป็นสายการบิน CAMBODIA AIRLINES  ฟังดูง่ายๆ  บินกรุงเทพ-พนมเปญ วันละเที่ยว จนเพิ่มวันละหลายๆเที่ยว   เพิ่มบินตรงสิงคโปร  บินตรงฮ่องกง   เมื่อสายการบินเจริญขึ้นเรื่อย  คนในรัฐบาลก็เห็นผลประโยชน์อันมากมายนี้  และยังใช้ในนามของประเทศเขา  ก็เลยต้องหยุดโดยปริยาย    

♦ ประสพการณ์ที่เขมร  ได้ข้อคิดหลายๆอย่าง  10 ปีแรกทุกอย่างเป็นของเรา  ที่สุดกลับมามือเปล่าเช่นกัน           

♦ ปีที่เขมรแดงยึดครองล้างเผ่าพันธุ์  ตรงกับปีที่เมืองไทยเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา   แต่ของเขมรยืดเยื้อนานถึง 20 ปี 

รูปภาพของ อิชยา

ขอถามอาคิว

ขอถามอาคิ้วฉินหวุ่ยหมินต่อไป นะค่ะ

ในเรื่องที่อาคิ้วเล่ามาได้กล่าวถึง โรงฟอกหนัง และโรงทอผ้าในกัมพูชา ...

() โรงงานเหล่านี้เจ้าของเป็นชาวจีนขักหงินหรือเปล่าค่ะ?....

() โรงงานเหล่านี้  อาคิ้วพอรู้ไหมค่ะว่าปัจจุบันยังมีอยู่ไหม? .. ไหง่เคยไปพนมเปญ  ก่อนเข้าตัวเมืองเคยเห็นมีโรงงานทอผ้า  ตั้งอยู่บริเวณริมโตนเลสาบ .. แต่ไม่เห็นโรงงานฟอกหนัง

() ช่วงที่เพื่อนของกู๊ช้องอาคิ้ว   ชวนไปทำหนัง (ภาพยนตร์) .. เพื่อนคนนั้นเป็นขักหงินด้วยไหมค่ะ ... แล้วอาคิ้วอยู่ที่เขมรนานแค่ไหนค่ะ .. มีเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับขักหงินที่นั่นบ้างไหมค่ะ?

柬埔寨 หรือ 家不在

ประเทศกัมพูชา  มีคนจีนแต้จิ๋วมากมากคนจีนภาษาอื่น  สมัยก่อนคนจีนเป็นผู้คุมธุรกิจทั้งหมดของประเทศ  ตอนที่เขมรแดงเข้าไปยึดครอง  ใช้ระบบเหมาเจอะตง  คือกำจัดเศรษฐีผู้มีเงิน มีความรู้  เพื่อสร้างมนุษย์ชาติรุ่นใหม่ขึ้นมา   โดยล้างสมองทุกคนที่ทำตามระบบ  ใครขัดขืนฆ่าตายหมด  เหมือนลัทธิเหมา ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยม ปิดโรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน ยกเลิกระบบธนาคาร   ดังนั้นเจ้าของโรงงานหรือเศรษฐี โดนฆ่าตายหมด  โรงงานและบ้านเรือนเป็นของรัฐบาลทั้งหมด  กวาดต้อนชาวบ้านที่ไม่ขัดขืน  ไปทำไร่ทำนาให้รัฐบาลตามทุ่งใหญ่นอกเมือง  กินแบบอดอยากมาก  ให้ลูกๆจับผิดพ่อแม่ ชาวเขมรทำไร่นา ต้องส่งส่วยให้รัฐบาลจีน  ช่วงหลังเวียดนามมีกำลังแข็งแกร่งและฮึกเหิมเพราะรัสเซียหนุนหลัง ให้แข็งข้อกับประกับประเทศจีน  แยกเป็นคอมมิวนิสต์ 2 ระบบ   มาขับไล่ทหารจีนแดงออก  และยึดเขมรเกือบทั้งหมด ตั้งรัฐบาลเฮงสัมริน  ไล่รัฐบาลพอลพตมาอยู่ทางชายแดนไทย ทหารเขมรแดงกลัวความเหี้ยมโหดของทหารเวียดนาม หนีกะเซอะกะเซิง ช่วงนั้นเวียดนามจะยกทัพบุกเข้ามาเมืองไทย  รัฐบาลไทยต้องให้ประเทศจีนมาช่วย โดยจีนแดงส่งรถถังมาทางท่าเรือคลองเตย เคลื่อนรถมาส่งมาทางปอยเปตเพื่อให้ทหารเขมรแดงยันทหารเวียดนามไว้และจีนก็ไปตีทางเหนือของเวียดนาม  จึงทำให้เวียดนามถอนทัพกลับไป (ช่วงนั้นอเมริกาไม่กล้ามาช่วยไทยเพราะแพ้สงครามเวียดนามไปหยกๆ)(ทั่วโลกรู้ว่าจีนส่งอาวุธผ่านไทยไปปอยเปต มีแต่คนไทยไม่เคยรู้เรื่องนี้)

♦ตอนผมเข้าไปใหม่ๆ  ผมพูดภาษาเขมรไม่ได้  พูดแต่ภาษาจีนกลาง  เพราะคนที่นี่เป็นชาวจีนแต้จิ๋วทั้งหมด  ธุรกิจร้านค้า เป็นของคนจีนทั้งหมด  โรงงานและตึกสูงๆและบ้านเรือนทั้งหมดเป็นของรัฐบาล  โดยจะแบ่งตึกหรือโรงงานให้แต่ละกระทรวงจัดสรรกัน  ให้ชาวบ้านเช่าแล้วจะเป็นค่าใช้จ่ายของแต่ละกระทรวง  แต่จะมีกลุ่มคนจีนไหหลำ  จะเป็นพ่อค้าใหญ่จัดสินค้าให้พ่อค้าแม่ค้าขายในพนทเปญ  กลุ่มไหหลำนี้ ถือพาสปอร์ทไทยทุกท่าน  แต่อดีตก็เป็นประชาชนของเขมร  พวกนี้มีเงินหมุนเวียนมหาศาล  นำสิงค้าจากสิงคโปร์ ไม่ว่าเหล้า บุหรี่ เครื่องไฟฟ้า รถมือ 2 ที่สิงคโปร์ปลดระวาง  และมีเรือประมงขนสินค้าจากไทย  เข้าทางเกาะกง  ตอนนั้นเขมรไม่มีอะไรที่ผลิตขึ้นมา  สั่งซื้ออย่างเดียว  แต่แรงงานที่นี่ วันละ 1 ยูเอสดอลล่า  ค่าครองชีพถูกมาก  การซื้อขายทุกอย่างคิดเป็นทอง น้ำหนักเป็นตำลึงหรือ กิโล แล้วแต่ตกลง

♦ หลังเลือกตั้ง รัฐบาลต้องการใช้เงิน  แต่ละกระทรวงจึงเริ่มขายตึก โรงแรม และโรงงาน  ผู้ที่เป็นเจ้าของ  แม้กระทั่งที่ดินต่างๆที่กระทรวงยึดครองอย่ ทั่วประเทศ  ส่วนมากผู้ที่ซื้อเป็นคนถือพาสปอร์ทประเทศไทยเกือบทั้งหมด  แต่พูดภาษาเขมรคล่อง  และทุกวันนี้เศรษฐกิจในประเทศ  อยู่ในมือของคนเหล่านี้ทั้งหมด  ไม่ว่าสายการบิน  โรงงานเหล้า บุหรี ธุรกิจสื่อสาร  และอีกหลายๆอย่าง  ไม่มีโรงงานที่เป็นรัฐวิสาหกิจ  เพราะขายทิ้งหมดแล้ว

เรื่องเขมร

ช่วงที่อยู่เขมร  มีคนหม่อยแหย่น รับซื้อหนังสัตว์มาส่งให้  ส่วนมากอยู่ติดทางเวียดนาม  แต่ในพนมเปนเป็นคนแต้จิ๋วทั้งหมด   คิดว่าโรงทอผ้าไม่น่าจะอยู่ เพราะที่โรงงานใหญ่มาก  อยู่ใกล้เมืองหลวง  น่าแปลสภาพเป็นอย่างอื่นแล้ว  ส่วนโรงงานฟอกหนัง มีพ่อค้าพลอยเมืองไทยซื้อโรงงานไปทำอย่างอื่นแล้ว  ช่วงเปลี่ยนถ่าย 

รูปภาพของ อิชยา

(客人)

เถียดเหงี๊ยดซี่)Laughing

ขอบคุณ

รูปภาพของ อิชยา

รอฟังเรื่องเล่าเพิ่ม

อาคิ้วฉินคะ .. ตอนที่ว่านั่งเครื่องบินไปลงเวียตนามก่อนต่อรถเข้าเขมรนั้น .. ต่อรถยนต์เข้าเขมรทางจังหวัดอะไรค่ะ? .. มาทาง จ. กอมป๊วตไหมค่ะ?

จากเข้ามาทำหนัง (ภาพยนตร์)  จนไปถึงทำกิจการสายการบิน .. ทั้ง ๆ ที่สภาพของประเทศเขมรในเวลานั้น .. เพิ่งผ่านสงครามกลางเมืองไป .. แล้วกิจการดำเนินการกันมายังไงคะ?  เท่าที่ไหง่รู้มาหลังสงครามยุติ  ขนาดว่าคนในเมืองหลวงเหลือแค่หลักพัน

คนจีนในกรุงพนมเปญ  เวลานั้นเป็นยังไงบ้างค่ะ? .. แล้วกลุ่มของอาคิ้วติดต่อหากันยังไง  จากเขมร-จีน  หรือ เขมร-ไทย 

 

ขอบคุณ

เขมร 2

จากไซ่ง่อนเวียดนาม นั่งรถมาที่ฮาเตียน ด่านเวียดนามติดกับด่านเขมรเปรดชาด จังหวัดกอมปอต(ถ้าจำไม่ผิด  ขอโทษด้วยเพราะมันนานกว่า 25 ปีแล้ว) เพราะต้องทำวีซ่าที่ด่านเลย  ตอนนั้นไม่มีสัมพันธ์ไมตรีกับไทย

ช่วงที่เข้าไปเขมรใหม่ๆ  คนในพนมเปญมีไม่น่าเกิน2-3 หมื่นคน  ช่วงนี้ประชาชนเริ่มเดินทางเข้าพนมเปน  ไหงไปทำหนังสัตว์ไม่ใช่ภาพยนตร์  ครั้งแรกเข้าไปซื้อหนังดิบกลับมา(หนังที่แร่เนื้อแล้วหมักเกลือ)  เดือนหนึ่งมีประมาณ 200 ตัน ที่พนมเปนขาย กิโลละ 10 บาท ถ้ามาถึงเมืองไทย กิโลกรัมละ 30 บาท  1 ปีเต็มๆ กว่าจะรู้จักกับคณะรัฐมนตรีของเขมร  ผมจ้างลูกน้องที่พูดจีนกลางได้ มาสื่อสาร  จังหวะเล็กคนนี้เก่งทั้งภาษาฝรั่งเศส อังกฤษได้บ้าง  และภาษาเขมรเขียนรายงานในราชการได้  (ช่วงนั้นหาคนที่รู้หนังสือในเขมรยากมาก คนที่มีความรู้ แม้กระทั่งแค่ใส่แว่นสายตาสั้น เขมรแดงฆ่าตายหมด  ขนาดคณะรัฐบาลหลายคนไม่มีความรู้  แต่อาศัยผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน  อยู่ 1 ปี จนรู้จักรัฐมนตรีหลายๆท่าน  ขาดเขาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน ต้องขับรถมาขอเครื่องดื่ม เหล้า  เพราะรัฐมนตรีช่วงนั้นได้เงินเดือนไม่เกิน 1 พันบาท  แล้วแต่ละกระทรวงหาเงินไปเก็บค่าเช่ากันเอง  หาเลี้ยงกระทรวงของตัวเอง

เมื่อเวียดนามแดงขับไล่เขมรแดงออกไปหมด  พอลพตและเขียวสัมพันธ์หนีมาติดชายแดนไทย  ตอนเขมรหนีกองทัพเวียดนามออกจากพนมเปน  ได้ทิ้งสมบัติมากมายที่เขมรแดงยึดจากประชาชน  ไหงเคยรัฐมนตรีคลังพาไปดูสมบัติเขา  ไม่มีที่เก็บ เขากองเป็นภูเขาในตึก ส่วนมากเป็นทองรูปพันธ์ เต็มห้องโถงใหญ่ๆหลายแห่ง

ปีที่ 2 ถึงได้เช่าโรงงานทอผ้า  โชคดีโรงทอผ้ายังเหลืออดีดคนงาน(คนจีน)มาเป็นผู้ดูแลโรงงาน  เขาช่วยเหลือได้เยอะ  เขมรยังมีคนเก่งๆหลายคน  แต่ทุกคนต้องยอมโง่  และคนเขมรเป็นคนที่ไม่สู้คน  ยอมทนทุกข์ทรมาน  หมู่บ้านหนึ่งผู้คุมขังมีปืนไม่กี่กระบอก  ถ้าเป็นคนไทยต้องยอมตายแน่  เขาฆ่าชาวบ้านโดยไม่ใช่กระสุน แค่เอาถุงก็อปแก็ปคลุมหัว  หรือไม่ก็ลากไปทุบทิ้ง แถวคันนา  และเป็นปุ๋ยไป  (ถ้าเคยดูภาพยนตร์เรื่องKilling Field )  ความโหดเหี้ยม  ได้ฆ่าประชากรเขมรไปหลายล้านคน เรียกว่าล้างชาติล้างเผ่าพันธ์  หาสายพันธ์ใหม่  เพราะที่หนีรอดได้ก็ส่วนที่ติดชายแดนเวียดนาม  ส่วนติดชายแดนไทย  ทหารไทยยังซ้ำเติมอีก 

คนเขมรในอดีด  ที่ขอลี้ภัยในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย เริ่มทยอยเข้ามาเขมร โดยเดินทางจากเวียดนาม  หลายคนขนเงินมาซื้อบ้านเก่าคืน  และมาหาช่องทางทำมาหากิน  พวกที่มีความรู้จากยุโรปและอเมริกา หาทางเข้ามาหวังรับราชการ อย่างสมรังสี ก็เข้ามาอย่างกระเป๋าแห้ง

ปีที่ 3 เริ่มทำสายการบิน  ช่วงก่อนเลือกตั้ง ยูเอ็นเริ่มเข้ามาเคลียให้มีการเลือก ทหารยูเอ็นมีเงินเข้ามาหมุนเวียนในพนมเปน เดือนหนึ่งประมาณ 1 ล้านเหรียญ เป็นจังหวะของสายการบิน ได้รับจ้างขนถ่ายทหารยูเอ็น และพนักงานของยูเอ็น  และชาวเอเซี่ยนที่เข้ามาขุดทอง เงินของยูเอ็น  เพราะยูเอ็น  เริ่มตกแค่งเริ่มปรับปรุงสถานที่ต่างๆ  สถานฑูตแต่ละประเทศเริ่มปรับปรุงใหม่ ผู้คนจากทั่วโลกหวังเข้ามาทำธุรกิจกับยูเอ็น  ชาวเขมรเองก็ทะลักเข้าเมืองเพื่อขอมีส่วนแบ่งจากเงินยูเอ็น  มีการว่าจ้างทุกอย่า  สินค้าจากไทยขายได้ทุกอย่าง  ขอให้มีปัญญานำเข้ามาขาย  ไหงทำธุรกิจที่เขมร 20 ปี  แบบไปๆมาๆ  เพื่อนหลายคนยังมีโรงงานในเขมร และยังอยู่คงกะพัน  คงจะถามว่าสิ่งที่ไม่เคยทำๆได้อย่างไร     พวกเราขักหยินถึงแม้จะไม่มีความรู้สูง  แต่เราสามารถจ้างคนที่เรียนสูงๆมาเป็นลูกจ้างได้  เฉพาะธุรกิจสายการบิน  ดึงตัวหัวกะทิมาคอนโทรน  จัดระบบได้ไม่ถึงเดือน    เกล็ดความรู้อย่างหนึ่ง  ถ้ายูเอ็นไปประเทศไหนเพื่อจัดการเลือกตั้ง   เงินหมุนเวียนมหาศาลก็จะเข้าไปด้วย  เพื่อนคนหนึ่งตามยูเอ็นไป ตีมอร์  ไปไลบีเลีย  ทุกวันนี้ก็ยังตามยูเอ็นไปทุกที่  เพราะพนักงานยูเอ็นต้องมีคนช่วยจัดที่พัก และอาหารการกิน  และของใช้ทุกอย่าง/p>

ขอพักแค่นี้ก่อนเอาไว้คราวหน้าค่อยนั่งเทียนเขียนใหม่

นั่งเทียนเขียน 4

วันนี้ว่าจะมาเขียนปุ้ยสิดของเซี่ยงฉินต่อ แต่วันนี้มีคนขอร้องให้ลบปุ้ยสิดของเขาออกให้หมด  เขากลัวว่าจะมีปัญหา  เขากลัวเรื่องการเมืองหรืออะไรต่างๆ  ไหงไม่เข้าใจ  ครั้งแรกเขาไปหาปุ้ยสิดที่ห้วยกระบอก  และมีคนให้มาส่วนหนึ่ง  ทั้งๆที่ไหงก็เขียนไปบางส่วน  อุตส่าห์ลบชื่อผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว
นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว  ไหงว่ากลัวเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง  พวกซินเกียง  พวกธิเบต  หรือมงโกล  เราเป็นอะไรต้องไปกลัวเรื่องพวกนี้  

ถ้าเป็ย 30 ปีก่อน นั้นใช่แน่  ไหงไปเวียดนาม  หรือเมืองจีน ต้องห้ามปั้มวีซ่าในพาสปอร์ตเด็ดขาด  ทำต่างหากอีกใบ  ไม่เช่นนั้นคุณไปขอวัซ่าประเทศเสรีไม่ได้  แม้กระทั่งใต้หวัน  เขายังไม่รับ  เช่นเดียวกันคุณไปประเทศจีน  โชว์วีซ่าประเทศพี่เบิ้มก็ไม่ได้  เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมีสปายอะไรแล้ว  เทคโนโลยี่มันก้าวไปไกลมาก  อยู่ที่ไหนเขารู้เขาเห็นหมด  ทั้งที่ทำงานหรือธุรกิจแม้กระทั่งระบบบัญชีที่เคลื่อนไหว   ใครฟอกเงินเดี๋ยวนี้รู้หมด   ถ้าใช้ระบบของยุโรปหรืออเมริกา(อนาคตเป็นไปได้แน่) คุณเบิกเงินสดมากๆ  ต้องมีคนมาถามแน่ว่าไปใช้ทำอะไร  


เรื่องปุ้ยสิดไหงไม่ได้ลบ  และคิดว่าจะเขียนให้จบ  พวกนี้คนที่ศึกษามาต้องรู้อยู่แล้ว  ไหงยังรู้ของเซี่ยงใช่ เซี่ยงคิ้ว และอีกหลายเซี่ยง  เพราะปุ้ยสิดเทียบรุ่นได้  ว่าใครรุ่นที่เท่าไร  ก็ประมาณปีได้  ขออย่าวิตกจริตกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง  

ปุ้ยสิดไม่ใช่ความลับ  จำเป็นต้องเปิดเผยให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงประเพณีจารีตอย่างไร  จะได้เรียกอากอ อาสุก สุกกุ้ง  

พวกเราเป็นคนเชื้อสายจีน(华人)  ไม่ใช่คนประเทศจีน(中國人) เราต้องภูมิใจว่าเราเป็นปั้นซันขัก และมั่นใจที่จะพูดปั้นซันขักโดยไม่ต้องอายใคร

รูปภาพของ อิชยา

ขอให้เขียนต่อ

ขอให้อาคิ้วช่วยเขียนปุ้ยสิดของเซี่ยงฉินต่อนะคะ .. ของหมู่บ้านหรือของกลุ่มไหนเขาไม่สะดวกก็แล้วแต่เขาเถอะคะ .. ยังมีลูกหลานเซี่ยงฉินอีกมากที่ไม่รู้เรื่องปุ้ย  ไม่รู้ความหมายในกลอนปุ้ยของตระกูลตัวเอง .. ถ้าผู้ใหญ่ไม่บอกกล่าว  ไม่เล่าไว้ .. ก็จะไปว่า ๆ ลูกหลานไม่สนใจก็คงไม่ได้เต็มปากนัก .. ก็ในเมื่อผู้ใหญ่ไม่สอน  ไม่ชี้แนะ .. แล้วจะให้ลูกหลานที่ไหนมาภาคภูมิใจ .. ทุกตระกูลแซ่มีนานาทัศนะ  ในหลายด้านหลายมุม .. เป็นธรรมชาติของสังคมที่อยู่รวมกัน .. ใครจะมีทัศนคติ / ความเชื่ออย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคน ๆ นั้น ..

ผู้ใหญ่ในวันนี้สร้างสังคม  สร้างทัศนคติไว้อย่างไร .. ลูกหลานก็ทำตามผู้ใหญ่ในวันนี้ ..  

และก็ขอไถ่ก๊าหงินทุกท่านที่รู้ภาษาจีน ..ช่วยให้ความหมาย  หรือคำอ่านภาษาจีนด้วยนะค่ะ .. ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเป็นสำเนียงไหน .. เรียนจบสูงหรือไม่ .. เพราะไหง่เชื่อว่าเซี่ยงฉินไม่ได้มีเพียงสำเนียงพูดสำเนียงเดียว .. และเซี่ยงฉินของอาป๊าไหง่ .. สอนให้ไหง่นับถือคนที่มีคุณธรรม  ไม่ใช่คนที่เรียนสูง ๆ  

อาคิ้วฉินคะ   กลอนปุ้ยสิด  อยู่่คนละกระทู้คะ  อยู่ที่กระทู้ชื่อ กลอนปุ้ยสิด ..คะ .. กระทู้นี้เว็บมาสเตอร์แยกไว้เป็นกระทู้เล่าเรื่องการเดินทาง หรืออื่น ๆ ของอาคิ้วคะ .. เพื่อจะได้ไม่สับสน

นั่งเทียนเขียน 5 ภูมิปัญญาสืบทอด

ช่วงปี1990 เดินทางไปประเทศกัมพูชา  ช่วงหน้าฝน  เกิดเป็นไข้หวัดใหญ่  ซื้อยามากิน (ช่วงนั้นมีแต่ยาของประเทศฝรั่งเศส  ที่ส่งมาช่วยเหลือ)  กินยาไม่หาย  มีอาการหนาวสั่นไข้ขึ้นสูง  จนเสมียนที่โรงงานมาตามเห็นอาการผม เลยอาสามาช่วยรักษาด้วยการขูดผิวหนัง  โดยใช้หินกลมๆ(ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร)มาขูดให้ผมโดยใช้เหล้าชโลมด้านหลังก่อน  โดยเริ่มขูดแนวไขสันหลังก่อน เขาขูดจนเห็นเป็นรอยเส้นๆซี่โครงเลย  ถือว่าแสบๆมากพอสมควร  เขาบอกว่าต้องไล่จากชีพจรก่อน  แล้วค่อยๆไล่ไปที่จุดปวด เขาบอกว่ามันเป็นการไล่เลือดเสียออกจากผิวหนัง  เรียกว่าขูดทั้งตัว  แสบๆร้อนๆไปหมด  จากนั้นก็เอาถ้วยน้ำชาแช่น้ำร้อน   แล้วเอาสำลีจุ่มเหล้า  จุดไฟในถ้วยแล้วครอบแถวข้างศีรษะ คอ  จนเป็นรอยจ้ำๆเหมือนโดนดูด  หลายจุดเป็นจ้ำคล้ำแบบเลือดคลั่งดำ  แล้วให้ผมนอนพักผ่อน  ห้ามเปิดแอร์  
     รุ่งเช้า  อาการปวดเป็นไข้หายปลิดทิ้ง  เหลือแต่รอยผิวหนังที่คล้ำเป็นจ้ำๆ  แสบๆคันๆ   ขับรถไปทำงานได้    จึงถามเสมียนว่ามีความรู้เรื่องเหล่านี้ได้ยังไง เขาเล่าว่านี่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่สืบทอด  จากรุ่นอาม่า  สอนต่อๆมา เขาเรียกว่า "กัวซา" ( 刮痧) เป็นภาษาจีนกลาง และการครอบแก้ว  ลูกหลานคนจีนทุกต้องรู้เคล็ดเหล่านี้ และต้องเรียนรู้ขูดให้ถูกจุด  มือที่ขูดต้องออกแรงสม่ำเสมอ  จะขูดไล่เลือดเสียออกจากผิวหนัง  ตรงไหนปวดมาก จุดนั้นจะดำมาก  เขาเล่าว่าสมัยที่พอลพตไล่ต้อนประชาชนไปนอกเมือง  ไม่มียาแจก ต้องรักษาด้วยภูมิปัญญาที่สืบทอดมา  ยังมีใบผักใบหญ้า  ที่นำมาแก้โรคต่างๆ  ก็เป็นภูมิปัญญาสืบทอดจากอากงอาม่าทั้งนั้น            
แม้กระทั่งวิถีชีวิตหลักการค้าขาย  ไม่ว่าพ่อค้าประเทศจีน  เวียดนาม  เขมร หรือลาว ยึดถือทองคำเป็นหลัก  ทุกคนจะพกทองแผ่น ไปจับจ่ายซื้อสินค้ากัน  โดยคิดเป็นน้ำหนักทอง  หนึ่งสลึง  10 สลึงเป็น 1 ตำลึง  แล้วก็ คุยเป็น กิโลเลย  เพราะเขาถือว่าทองคำปลอมไม่ได้  คุณจะเอาแบงค์ดอลล่า บาท หรือของประเทศไหนเขาไม่คุยด้วย  ไม่ก็ตีเลสต่ำกว่าความจริง  การซื้อขายแผ่นทอง  พ่อค้าทุกคนมีพวงแผ่นทองเทียบสี ดูว่าทองกี่เปอร์เซ็น  ใช้เท่าไรก็ตัดเท่านั้น  เหลือหรือขาดก็ใช้เงินพื้นที่ไปเล็กน้อย
เดี๋ยวนี้  ประเทศจีนเพิ่มหลักสูตร กัวซา ครอบแก้ว  รวมอยู่ในการแพทย์ฝังเข็ม  รับถ่ายทอดให้นักศึกษาทั่วโลก
   ภูมิปัญญาของจีนที่สืบทอดมา  ไม่ว่าการรักษาโรค  ปรุงอาหารของชาวจีน  หลักเศษฐกิจกลยุทธการวางแผน  หลักคิดเลขโดยใช้ลูกคิด  ทุกอย่างที่สืบทอดมายังคงยั่งยืน  ใช่ได้ถึงทุกวันนี้
     2-3 วัน  เห็นข่าวหนึ่งที่เปฺิดเผยทั่วโลก  "ต้องรอถึง 26 ปี  เยาวชนสหรัฐอเมริกา เพิ่งชนะเยาวชนประเทศจีนได้"   โอบามาดีใจ เรียกเยาวชนไปพบ  แต่ต้องอึ้งทันที  เพราะเยาวชนที่ไปชนะ นำรางวัลกลับมาได้  เป็นบุตรหลานเชื้อชาติจีนทั้งนั้น
ฉะนั้นเราต้องภูมืในเชื้อชาติ  หลายๆท่าน  หลายๆครอบครัว  ดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยวิถีภูมิปัญญาจากจีน  หลายๆท่านเปิดร้านอาหารพื้นเมืองสูตรจากปู่ย่าตายาย  จนรำรวย  

รูปภาพของ อิชยา

ขูดลม

เรื่องการรักษาไข้ที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด .. ไหง่มีเพื่อนเป็นชาวเขมรหลาย ๆ คน .. เขาก็มีวิธีรักษาไข้คล้าย ๆ กันกับที่อาคิ้วเล่ามา .. คือเขาจะใช้เหรียญ / อะไรก็ได้ที่เป็นแร่โลหะ  มีขอบมนโค้ง  ไม่ใช้แบบมีปลายแหลม .. มาขูดตามตัวตามแขนขาที่ปวด .. ขูดแบบไล่ลม  ไล่จุด  ใช้แรงไม่มากแต่ต้องสม่ำเสมอ .. ขูดกันจนตัวลายแดงเป็นเลือด  ตามรอยซี่โครงบ้าง  ตามข้อเป็นรอยจ้ำคล้ำ ๆ   และจะไม่นอนตาก (พัดลม) ลมหรือแอร์ .. บางคนป่วยมากก็จะทำแบบที่อาคิ้วบอกใช้ถ้วยจอกน้ำชา  ครอบตามจุดชีพจรสำคัญ ๆ .. แต่เท่าที่เห็นส่วนมากแค่ขูดลม .. ทำซ้ำอีกครั้ง ก็หายแล้วคะ

เคยถามพวกเขา ๆ ก็ว่าถ่ายทอดกันมานานแล้ว .. ไหง่คิดว่าน่าจะเกิดจากแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาซึ่งกันและกัน .. ข่วยเหลือกันเพื่อความอยู่รอดในสังคม .. และพวกเขาก็ยังบอกอีกว่า .. ส่วนมากจะขูดลมด้วยตัวเอง  ซึ่งนั่นเป็นนัยว่าวิธีการรักษานี้มีมานานมากแล้ว ..และแพร่หลายไปทั่ว ..แต่เขาก็ไม่ไว้วางใจให้ใครมาทำการบูดลมให้ .. เพราะมีอันตรายแก่ชีวิตเขา 

เรื่องทองคำก็น่าจะเป็นอิทธิพลสืบเนื่องมาจากการใช้จ่ายด้วยทองคำอย่างที่อาคิ้วเล่าไว้ .. ปัจจุบันถ้าใครต้องการขายทองคำ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยข้อมือ  หรือสร้อยคอ .. ก็จะแบ่งตัดเป็นข้อ ๆ ขาย  ไม่ขายยกเส้นอย่างในไทย

"กัวซา" ของถ่องหงินนี้เป็นวิธีการรักษาของขักหงินไหม?  หรือเริ่มมาจากที่ไหนคะอาคิ้ว

รูปภาพของ จองกว๊านหมิ่น

เจ็บแสบมาก

เห็นคำกวาดซา  刮痧 ก็นึกถึงอดีตสมัยตอนเป็นเด็กอีกแล้ว ขณะนั้นอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ เป็นไข้ไม่สบายหนาวสั่น จึงต้องทำการรักษา ไม่ได้ไปหาหมอตามคลีนิคหรือโรงพยาบาล แต่ไปร้านขายยาจีนจี้ฮั้วตึ้งร้านดังประจำจังหวัด ซื้อยาหม้อ ซึ่งเป็นยาสมุนไพรจีนหลายอย่างรวมกัน กลิ่นรสขมปี๋ กินลำบากยากเย็น ถึงขั้นต้องบังคับบีบจมูก ใช้ช้อนตักกรอกกันเลยทีเดียว กว่าจะกินหมด เล่นเอาทุลักทุเลทั้งคนกินคนป้อน จากนั้นคุณพ่อก็จับถอดเสื้อ ใช้เหล้าขาวชโลมทั่วคอบ่าและหลัง เอาถ้วยน้ำชาขนาดเล็กขูดที่ต้นคอบ่าและหลัง โดยมีคุณแม่จับตัวไว้ รู้สึกเจ็บแสบมากจนต้องแหกปากร้องไห้ลั่นบ้าน เมื่อขูดเสร็จ ก็เอาครีมสโนว์ทาจนทั่ว แล้วห่มผ้าให้นอนบนเตียงไม้ ด้วยความเพลียจึงหลับสนิท ตื่นมารู้สึกทั่วตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ คุณแม่มาเห็นแล้วพูดว่า หม่อพ๊า เพี๊ยงว้อยห้าวลอ แปลว่าไม่เป็นไร ไข้คงหายแล้ว ก็ให้ออกมานั่งพักหน้าบ้าน เวลานั้นรู้สึกสบายไปทั่วสรรพางค์กาย สมองโปร่งโล่ง ความปวดเมื่อยอันตรธาน เป็นอะไรที่สบายอย่างสุดๆ ที่เล่ามานี้ไม่มีอะไร เป็นเพียงประสบการณ์เล็กน้อยตอนหนึ่งของคนชรา ที่อยากเล่าเรื่องอดีตที่เคยผ่านพบให้รู้กันเล่นๆเท่านั้น

 

 

 

 

 

รูปภาพของ อิชยา

ยาที่เคยใช้ตอนเด็ก

เห็นครีมสโนว์นึกถึงตอนเด็ก ๆ   ครีมนี้อาเม้ใช้ทาให้เวลาเป็นแผลแบบช้ำเลือด  หรือเลือดซิบ ๆ   แล้วก็ยังมียาครีม มุ๊ยเตดหลิม อีกอย่างทาสารพัดน้ำร้อนลวก  โดนน้ำมันร้อน   แผลฝีหนอง ... โรงหมอโรงพยาบาลก็ไม่เคยไป  รุ่นนั้นถ้าจะราคาไม่ผิดขวด 7-8 บาท  ถูกกว่าครีมสโนว์  แต่ก็จัดว่าแพงสำหรับบ้านไหง่ ... ทายายังต้องประหยัด  ทาบาง ๆ  ยาเหลือติดนิ้วปาดที่ปากขวด  เหลือหมาด ๆ ติดนิ้วก็ทารอบ ๆ แผลให้หมด ..อั้นเย้นว่อง..

ยาจีนชุดนี้ชื่ออะไรคะโก๊   มีวิธีต้มยายังไงบ้าง  ต้มเคี่ยวไหม?

ยังสงสัยการขูดลมตามตัวจนแดงเลือดนี่มันของขักหงินไหม  หรือของจีน?แล้วที่เขมรก็มีเหมือนกัน .. เกิดจากการแลกเปลี่ยนกัน  หรือเผยแพร่ช่วยเหลือกันมานานแล้ว ?

นั่งเทียนเขียน ภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมานาน

เมื่อสามสี่เดือนกว่า  อาเม๊ไหงปวดเมื่อยขา  ไหงก็ปะเหลาะให้แม่ไหงพยายามเดินให้คล่องเพื่อจะพาไปเมืองจีน   เพื่อนไหงแนะนำหมอฝังเข็ม  เพิ่งจบมาใหม่ๆ  ให้ฝังเข็มแม่ไหงเพื่อให้เลือดเดินได้คล่อง    ยังเป็นเด็กหนุ่ม  ให้มาลองฝังเข็ม 3-4 อาทิตย์  ก็ได้ไถ่ถามพูดคุยกัน
    หมอไปเรียนที่มหาลัยหัวเฉียว  เรียนหลักสูตรนวดแบบกายภาพบำบัด  ป๊าเขาว่าจะเรียนหมอนวดทำไม  คนไม่ต้องเรียนก็นวดได้  เขาก็เลยขอเพิ่มหลักสูตรฝังเข็ม  ทางมหาลัยก็ส่งเขาไปเรียนเพิ่มเติมที่ประเทศจีน  ปีแรกไปเรียนภาษาจีนอย่างเดียว  ปีต่อไปถึงเข้าหลักสูตร  ฝังเข็ม  ต่อด้วยครอบถ้วย  และสุดท้ายก็เรียนขุดผิวหนังเพิ่มเติม เขาใช้เวลาเรียนเกือบ 4 ปี เหมือนกัน  ตอนนี้จะเปิดร้านเอง  ต้องสอบเทียบวุฒิที่เมืองไทย  ถ้าไม่ผ่านก็จะไม่ได้ใบประกอบโรคศิลป์   แฟนเขาเป็นชาวจีน  จบเรื่องการฝังเข็มและครอบถ้วย  แต่ติดภาษาที่พูดไทยไม่ค่อยได้  ก็ต้องอีกพักใหญ่
การครอบถ้วย  ที่ไหงเรียกถ้วยเพราะเขาใช้ถ้วยกระบอกไม้ไผ่  ที่ตกไม่แตก  ส่วนกวาซา  เขาพัฒนาตัวขุดเป็นเขาควาย  รูปร่างคล้ายหวีหรือใบมีดแต่มันมนกว่ามาก อีกด้านหนึ่งมีปลายแหลมมลๆ เพื่อไว้กดจุด  หมอยังบอกว่าไม่ใช่สับแต่ขูด  ต้องเรียนรู้ถึงชีพจร  ชีพจรหลักๆอยู่แนวกระดูกสันหลัง การกระตุ้นจุดเส้นลมปราณ รู้ระบบของหยินและหยาง  หมอบอกว่าต้องเรียนรู้จุดต่างๆในร่างกาย ก่อน  ถ้าขูดไม่ถูกจุดก็เจ็บต้วเปล่า  ไม่ช่วยอะไร  เขาใช้น้ำมันงาทากันผิวหนังปวดแสบ  
 กวาซา (刮痧) 刮 กวา แปลว่า ขูด  痧 ซา  แปลว่า พิษ
     นี่เป็นภูมิปัญญาการรักษาที่คนจีนสืบทอดมานานแสนนาน ไม่เฉพาะว่าภาษาใด คนจีนในเวียดนามก็ได้ภูมิปัญญานี้ตกทอดมา  และยังใช้หลักนี้รักษา จับไข้ร้อน ไข้หนาว และไมเกรน  ไม่ว่าจะเป็นการฝังเข็มก็ลักษณะ ไล่เลือดลมเปฺิดระบายการอุดตัน  การดูดด้วยถ้วย  ก็เป็นการเอาเลือดเสียออกทางผิวหนัง  การขูดผิวหนัง  ก็เป็นการไล่เลือดเสียออกมาจากผิวหนัง   มันเป็นมรดกของชาวจีนที่สืบทอดมา  ซึ่งในประเทศไทยแทบจะสูญหายไป   

รูปภาพของ อิชยา

กวาซา เริ่มมีเมื่อไหร่

เรื่องฝังเข็มในกรุงเทพฯ  ที่เคยไปก็โรงพยาบาลเทียนฟ้า  และเขาว่าที่โรงพยาบาลหัวเฉียวก็มี  แต่ยังไม่เคยเห็นแบบกวาซา 

มีเมื่อครั้งหนึ่งอาเม้ปวดหัวเข่ามาก  ไม่มีแรงเดิน  ขาหนัก ๆ .. กินยาหาหมอก็ไม่หาย .. มีคนแนะนำให้ไปหาหมอจีนท่านหนึ่งที่แถวตลาดสี่มุมเมือง .. แต่เขาไม่ได้เปิดเป็นคลีนิค  เป็นบ้านอยู่อาศัยธรรมดา .. อาแปะคนนี้เขามานวดจับตรวจนิดหน่อย .. แล้วก็ใช้เปลือกมังคุดครึ่งลูก (เหมือนกะลา) .. จุดไฟในเปลือกมังคุดแล้วก็เอาคลึงนวด  และคว่ำฝา(เปลือก)  ดูดเลือดเสีย .. หลังจากรักษาเสร็จ ..กลับมาบ้านอาเม้เดินไปโน้นไปนี่  ไม่มีบ่นเลย  แถมบอกว่าขาเบาขึ้นสบายตัว

อาคิ้วหรืออาโก๊พอจะรู้ไหมคะว่า  การรักษาแบบกวาซา  มีประวัติเริ่มมาแต่เมื่อไหร่  โดยเฉพาะในหมู่ขักหงินมีเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ /  หรือเท่าที่มีบันทึกไว้มีความเป็นมายังไงบ้างคะ

 

รูปภาพของ จองกว๊านหมิ่น

何仙姑 เหอเซียนกู

相传,世居福建省武平县南岩的八仙之一何仙姑,为大郎何旦之女 幼性清静,不饮酒,不茹荤,隐迹岩中,矢不适人,日坐岩中,修道成仙。後來关心民间的疾苦,为民解除病痛 经常运用刮痧、挑痧、撮痧、等疗法,在当地留下许多值得回味的刮痧民间故事。
 
มีเรื่องเล่าถ่ายทอดกันมาว่า เหอเซียนกู (何仙姑) หนึ่งในแปดเซียน อาศัยอยู่ที่หน้าผาด้านใต้ของอำเภออู่ผิง มณฑลฮกเกี้ยน เป็นบุตรีของเหอต้านซึ่งเป็นหมอ ตอนเยาว์วัยมีนิสัยสงบเงียบเยือกเย็น ไม่ดื่มสุรา ไม่ทานเนื้อสัตว์ ชอบเร้นกายอยู่ตามภูผา ไม่ยอมพบผู้คน มักนั่งภาวนาบนหน้าผาเป็นประจำ บำเพ็ญฌาณจนบรรลุขั้นเซียน ต่อมามีความเป็นห่วงโรคภัยไข้เจ็บของชาวบ้าน จึงทำการรักษาและมักลงมือรักษาด้วยการใช้วิธีขูดพิษ คัดพิษและขยุ้มเนื้อหนังให้คายพิษ จนมีการร่ำลือกล่าวขานกันมากมาย เกี่ยวกับการรักษาโรคโดยการรีดพิษ
 
 
何仙姑  เหอเซียนกู    หนึ่งในเทพแปดเซียน
 
 
อุปกรณ์เขาวัวที่ใช้ในการรีดพิษ

中元节 七月半 นั่งเทียนเขียน

 วันที่ 28 สิงหาคม  อีกประมาณ เดือน ก็เป็นวันสารทจีนแล้ว  คนปั้นซันขัก และแต้จิ๋ว ย่อมถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง

中元节 เป็นวันสารทจีน 15 เดือน 7  ประเพณีมีประวัติวันยาวนาน  เป็นประเพณีของผู้เชื่อถือในลัทธิขงจื้อ และลัทธิเต๋า  เป็นเทศกาลใหญ่ของชาวจีน รองจากตรุษจีน  ลูกหลานชาวจีนถือเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ
         

วันสารทนี้จะมีอีกชื่อเรียกว่า 鬼 节 กุ่ยเจียะ หรือเทศกาลผี  เป็นพิธีคนชาวใต้  ตั้งแต่ฟุเจี้ยน 福建 หูเป่ย 湖北 เจ้อเจียง浙江 กวางตง 廣東 กวางซี廣西  แต้จิ๋ว 潮州  ยูนาน云南   เป็นพิธีคนแคะส่วนหนึ่ง  พิธีเซ่นไหว้   เช้าไหว้ เทวดาฟ้าดิน   ตอนสายไหว้บรรพชน  บ่ายไหว้ผีไม่มีญาติทั้งหลาย  ประเพณี  ทางเหนือจีนจะไม่มีประเพณีนี้  แต่ไม่ใช่ว่าคนจงหยวนไม่มีประเพณี  ตราบใดที่ยังนับถือลัทธิขงจื้อ  เพราะศาสดาขงจื้อ  สอนนักนอนหนา  เรื่องบุญคุณและการทดแทน

เดี๋ยวนี้ ประเพณีไหว้สารทจีน  แพร่หลายกลมกลืนไปรวมไปอยู่ในศาสนาพุทธ  ไม่เฉพาะคนแคะ  แต้จิ๋ว ยังรวมถึงคนไทยในประเทศไทย  ก็ร่วมไหว้ประเพณีในวันสารทจีน

 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal