หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

จัดตั้งกลุ่มสวัสดิการและพิธีการของคนปั้นซันขัก

วันก่อนไปร่วมงานศพของท่านผู้อาวุโสท่านหนึ่ง  ท่านเป็นคนปั้นซันขัก  เกิดที่มลฑล--- 

ลูกหลานได้จัดงานศพใหญ่โตที่วัดมีชื่อเสียง  ให้สมเกียรติแก่ผู้ตาย
ลูกหลานให้ร้านโรงศพเหมาจัดการทั้งหมด  เพราะร้านโรงศพคุยอวดว่าจัดการได้หมด
เริ่มงานวันแรก  แขกที่รู้จักมักคุ้นมากันมากมาย  เมื่อสวดพระอภิธรรมเสร็จก็จะเชิญแขกคำนับผู้วายชนม์  ร้านโรงศพจัดพนักงานมา 5 ท่าน 2 ท่านถือพัดเชิญแขก  2 ท่าน เชิญธูปรับธูป  อีกท่านเป็นพิธีกรเชิญแขก (唱禮)
พิธีกรเชิญเป็นภาษาฮอกล่อ  ทั้งๆที่แขกท่านผู้มีเกียรติเป็นคนปั้นซันขักทั้งหมด   เมื่อจบพิธี    ลูกหลานคนตายมาขอปรึกษา
จึงได้เรียกตัวแทนของสมาคมมาพูดคุยด้วย  
 
เนื่องจากเกือบทุกสมาคมขาดพิธีกรเชิญแขก  คนรุ่นใหม่ไม่ได้สืบทอดต่อ  ปัญหาคือเด็กรุ่นใหม่พูดปั้นซันขักไม่ได้เลย  เมื่อพูดไม่ได้ก็อ่านไม่ได้  ไม่เข้าใจในภาษาอ่านปั้นซันขัก
ทุกวันนี้ สมาคมเซี่ยงของปั้นซันขักเหลือไม่กี่สมาคมที่ทำพิธีของคนปั้นซันขักได้  นอกนั้นก็จ้างร้านขายโลงมาทำการแทน 
สรุปงานศพวันนั้น  ได้เชิญจากสมาคมใหญ่ มา 2 ท่าน ส่วนที่เหลือให้พนักงานของสมาคมเขาเชิญแขก
ข้อจำกัดว่า การจะเชิญใครมาเป็นพิธีกร  และเป็นคนละเซี่ยงและอยู่คนละที่กัน  (คนละอำเภอกัน)
 
จึงสรุปว่าจะจัดตั้ง ชุดสวัสดิการและพิธีการของปั้นซันขัก
福利股典禮組半山客  (โดยมีสมาชิกทุกเซี่ยง ทุกอำเภอที่พูดปั้นซันขักมาร่วมทำงานด้วย)
 
รับจัดทำตามพิธีกรรมตามขนบธรรมเนียมตามประเพณีของปั้นซันขัก  ให้คำปรึกษาพิธีกรรมต่างๆของงานศพ
ส่วนหลักการต่างๆ  จะมาบอกกล่าวให้ฟังครั้งต่อไป 

รูปภาพของ อาฉี

เป็นความคิดที่ดีครับ

สถานะการณ์หลายๆ แห่งก็เป็นดังว่า ขาดผู้สืบทอด
ถ้าทำได้ก็ดีไม่น้อย มารอติดตามครับ

半山客 福利股典礼組

 

ขนบธรรมเนียมและประเพณีต่างๆ ของชาวจีน  ไม่แตกต่างกันมากนัก ทุกภาษาถูกถ่ายทอดให้รู้จักบุญคุณ กตัญญูกตเวที(孝)  孝子เฮ้าจื่อ  孝女(เฮ้าอื้อ   孝孙 เฮ้าซุน
จึงถูกสอนให้มาตอบแทนบุญคุณ บรรพบุรุษ  สืบทอดกันมา

แต่จะแตกต่างกับชนชาติอื่น  ซึ่งไม่ได้เน้นสอนสั่ง  หรืออาจจะพวกเราชาวจีนสืบทอดจากลัทธิขงจื่อ 

เชื่อกันว่า  เมื่อมีคนตาย  ก็จะเชิญนักบวชนำพาผู้ตายไปส่งถึงแดนสุขาวดี  ซึ่งต้องผ่านด่านต่างๆ  จนถึงแดนสุขาวดี
จึงเป็นตำนานของพิธีกงเต็กขึ้น  พิธีกงเต็กซึ่งมิอาจบังคับให้เชื่อว่าจริงเท็จอย่างไร
แต่พวกเราชาวจีนปฏิติบัติตามมาเป็นพันปีแล้ว

เมื่อมีพิธีกงเต็ก  ใช่ว่ามีเพียงพระหรือนักพรตทำพิธีเท่านั้น  ยังมีพิธีกรรมสืบทอดมามากมายที่ต้องเตรียมการ

พิธีของชาวปั้นซันขัก  จะเริ่มพิธีกรรมก่อนพิธีกงเต็ก  คือ
1. 开声 เป็นพิธีทุบหม้อยา  เป็นพิธีบอกคนตายไม่ต้องใช้หม้อยาอีกต่อไปแล้ว
2. 告天地 พิธีบอกกล่าวเทพยดาฟ้าดิน  แจ้งมีคนตาย
3. 上服  蔴衣 แต่งตัวชุดกระสอบลูกชาย-ลูกสาว-ลูกสะไภ้ และหลานชายใน
การใส่เสื้อกระสอบของชาวปั้นซันขักแตกต่างกับชาวฮอกล่อหลายอย่าง
ชาวปั้นซันขักมีคฑา ไม้ไผ่ ใช้วัดความยาวเป็นคืบเป็นนิ้ว ใส่หมวก ปอคาดเอว
4. 安釘 พิธีตอกโลง  ผู้ที่ทำหน้ามี่ ต้องอาวุโสกว่าคนตาย  
และถ้าเป็นศพของสตรีก็มีพิธี 外家 เป็นพิธีที่หาคนทำเป็นน้อยมาก พิธีนี้คือ ลูกหลานจะเชิญเซี่ยงของผู้ตายมาเป็นพยานการเสียชีวิต(ผู้ตายไม่โดนฆ่าตาย หรือวางยา)
ฝ่ายเซี่ยงของคนตายจะทำพิธีตอกโลงเอง
5. 拜四角天地  ไหว้สี่ทิศ  เป็นการขอเทพยดาทั้งสีทิศเพื่อทำพิธีกงเต็ก
6. 告祖 ไหว้บรรพชน  ไหว้บอกกล่าวบรรพบุรุษของตระกูล  เพื้อรับทราบมีผู้ตาย
7. 点主 อันเชิญป้ายผู้ตาย  เชิญผู้ตายเป็นเทพในบ้าน 点王为主
พิธีนี้  ผู้รู้ไม่ได้ถ่ายทอด  บางท่านก็เชิญซินแสมาทำพิธี

พิธีต่างภาษากันก็ต่างกันเล็กน้อย  ชาวปั้นซันขักจะไม่ดื่มน้ำแดง(แทนน้ำนมแม่)
แต่จุดหมายเดียวกัน  คือส่งผู้ตายไปแดนสุขาวดี

พิธีเหล่านี้ ถ้าให้ร้านโลงศพทำ  พวกเขาจะโดดข้ามไปหมด  อ้างว่าพระเขาไม่ทำ หรือต่างๆ

(เคยไปจังหวัดหนึ่งรอบๆกรุงเทพฯ  เป็นงานศพญาติๆกัน  ก่อนพระมาทำพิธีกงเต็ก ผมถามคนของสมาคม ว่าไม่มีพิธีอะไรเลยหรือ  พวกตอบง่ายๆมาก  ว่าคนที่ทำเป็นตายหมดแล้ว  ไม่ได้ถ่ายทอดต่อมา  ผมก็ยังแย้งไปว่า พวกแสดงโขน แสดงลิเก ยังต้องไหว้ครู ไหว้เจ่าที่เลย) 

จึงเป็นข้อคิดให้ท่านทั้งหลาย  ถ้าจะจัดงานให้ผู้วายชนม์ก็จัดให้ถูกต้อง
ผลดีผลร้ายอยู่ที่ลูกหลาน  ไม่ใช่อยู่ที่ผู้ตาย 

สงสัยพิธีกรรมอะไรไถ่ถามได้  บางทีอาจจะมีผู้รู้ช่วยตอบให้ทราบ

พิธีต่างๆอาจจะต่างกัน  ขอให้ท่านผู้รู้ช่วยแนะนำและเปรียบเทียบติชมกันได้

เพราะผู้ที่เป็นผู้อาวุโสและอาจารย์ต่างก็ไม่อยู่กันแล้ว เหลือแต่ผู้สืบทอดที่จะสานต่อ

 

半山客 福利股典礼組

พิธีงานศพ  ถ้าหลุมศพถูกทิศถูกทาง  เวาลาตายไม่มีปัญหา  ส่วนมากจะทำพิธีศพแค่ 7 วัน  โดยพระสวดอภิธรรม 5 วัน  วันที่ 6 พิธีกงเต๊ก   วันที่ 7 เคลื่อนศพฝังที่สุสาน

เมื่อจบพิธีกงเต็ก  เช้าก็เป็นวันเคลื่อนศพ

วันนี้ก็จะมีพิธีหลายอย่างต้องเร่งเร็วเพราะมีเวลาจำกัด
1. เช้าจะนิมนค์พระมาสวดเพราะตายครบ 7 วัน (ธรรมเนียมไทย ทำบุญ 7 วัน)
2. พิธีการก็ต้องเตรียมของไหว้ที่มีหัวหมู (พิธีจีนไหว้ 7 แรก) 
3. พิธี 家奠 กาเตี่ยน  เป็นพิธีลูกหลานกราบไหว้อำลา ครั้งสุดท้าย
4. พิธี 總奠 พิธีไหว้อำลา  หลังพิธีนี้แล้วมาถ่ายรูปภาพ
พิธีนี้ ถ้าเป็นกลุ่มฟุ้งสุ่นก็จะเปลี่ยนมาเป็นวันที่ 6 (วันทำกงเต็ก) แทน  
เนื่องจากเวลาช่วงเช้าถนนรถหนาแน่นมาก  และคนก็ไม่ค่อยว่างกันจึงมาเปลี่ยนช่วงกลางคืนช่วง 2 ทุ่ม ทำพิธีจุ้งเตี่ยน และถ่ายรูป และแจกผ้าเช็ดหน้า

และเป็นการดีที่มีเวลาในการเคลื่อนศพไปสุสาน  ไม่ฉุกละหุกเกินไป  ลูกหลานพอมีเวลาทานอาหาร

เมื่อเคลื่อนศพถึงสุสาน  ก็นำศพพักที่ศาลา
พิธีการเตรียมของไหว้ปักกุ๊งเจ้าที่ ขออนุญาตนำศพมาฝังที่สุสานนี้
จะมีการคำนับศพของแขกที่มาส่งศพ
จากนั้นก็เคลื่อนไปฝัง ซึ่งต้องมีเวลาที่ดูไว้แล้ว

เจ้าพนักงานก็จะนำโลงฝัง  ก่อนฝังลูกหลานต้องมาดูโลงไม่ให้เบี้ยวหรือเอียง
เจ้าพิธีก็ต้องไหว้เจ้าที่หลุม
呼龍 พิธีกรก็ให้ลูกหลานจุดธูปอำลา 
点種  ต่อด้วยหว่านเมล็ดพันธ์ุ 5 อย่าง  ให้ลูกหลานนำกลับต่อยอด
แล้วเชิญกระถางธูปกลับบ้าน  (กระถางธูปจะมีตาไฟกลมอยู่ระหว่างมังกร 2 ตัว  ดวงไฟนั้นถือเป็นดวงตา  ต้องหันไปข้างหน้าเสมอ)
安灵 เป็นการเชิญกระถางธูปตั้งที่ตำแหน่งจัดไว้

ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย  

นี่คือพิธีของคนปัันซันขัก  ชาวปั้นซันขักเน้นเรื่องเวลาต้องตรง

เวลาของผู้ตายเป็นสิ่งสำคัญ  ฤกษ์ดีหรือไม่

หลุมฝังศพ  ถูกทิศของปีนี้หรือไม่  หรือต้องรอฝังปีต่อไป

ส่วนคนฮอกล่อ หลายๆคนเชื่อว่า  ภายในเจ็ดวันเป็นวันดีของคนตาย  สวรรค์เปิดให้ภายใน 7 วันนี้ 

半山客 福利股典礼組 3


คนปั้นซันจะถือมากเรื่องเวลาตาย

หากตก คุ้งหมองสี 空亡時  เป็นเรื่องใหญ่  จะห้ามไหว้คนตายอาจจะถึง 60 ปี
ส่วนทิศทางตรงไม่ตรง (หมายถึงหลุมฝังศพ หันหน้าทิศหรือไม่ตรงทิศ) ก็เพียงแค่เลื่อนวันฝังข้ามปีไปอาจจะ 2 ปี

เจอหลายๆงาน  เมื่อคนตายเวลาตายไม่ดี  ทางแก้ง่ายที่สุด คือฌาปนกิจเผา  การเผาก็ถือว่าสิ้นสุด  แล้วค่อยหาฤกษ์ฝัง 吉時 ทีหลัง (เอาอัฐิไปฝัง)

มีซินแสหลายๆท่าน ที่หากินกันอย่างน่าเกียจมาก  จะต้องทำงาน 2 ครั้ง  คือไม่ซื่อสัตย์กับอาชีพของตนเอง  ดังนั้นถ้ามีคนตายก็ควรหาเพื่อนๆที่รู้จักช่วยแนะนำให้

แต่ส่วนมากจะให้ร้านโลงศพเหมาจัดทั้งหมด  และร้านโลงศพก็จะจัดรวดเดียวให้จบ
ร้านโลงศพจะแนะนำ ซินแส พิธีกรจัดงาน  แม้กระทั่งโต๊ะจีน

ส่วนหนึ่งคือร้านโลงศพ ส่วนมากเป็นชาวฮอกล่อ  ฮอกล่อก็จะไม่เน้นเรื่องเวลาคนตาย
ทำทุกอย่างก็เป็นเวลาฤกษ์ดี 吉時 หมด  นี่เป็นอาชีพของเขา  และบางส่วนเขาก็ไม่ทราบประเพณีธรรมเนียมของชาวปั้นซันขักอย่างแท้จริง

มีคำถามว่าทำไมต้องมีพิธีกงเต็ก  จะให้ตอบยังไงดี
พ่อแม่ถูกปู่ย่าตายายสอนสั่งมา  ให้รู้จักขนบธรรมเนียม การไหว้เจ้า การขอพรจากเจ้า  การกตัญญูกตเวที  การไหว้บรรพบุรุษ
เมื่ออากุ๊ง-อาม่าตาย อาป๊าก็จะจัดงานศพให้ยิ่งใหญ่สมตามฐานะ  อาป๊าต้องโกนผมโกนคิ้ว  ไว้ทุกข์กินเจ 49-100 วัน  อาป๊าบอกถึงการใส่ชุดกระสอบเพื่อแสดงความกตัญญูต่อผู้วายชนม์  การที่ท่านเลี้ยงอาป๊ามาจนเติบใหญ่  อาป๊าบอกเพื่อตอบแทนท่านก็ต้องเชิญพระหรือนักพรต ส่งท่านสู่แดนสุขาวดี
การทำเช่นนี้เพื่อตามประณีที่สืบทอดมา   ส่วนหนึ่งถ้าคิดว่าเราทำแล้วสบายใจนั่นก็เกินพอ

ขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดจากรุ่นต่อรุ่น  เล่าขานหล่อหลอมและถูกสอนสั่ง
ทุกวันนี้เป็นยุคไฮเทค หลายอย่างจะเปลี่ยนไป ขนบธรรมเนียมสอนให้ลูกเราเรียก อาป๊า-อาเม้  อากุ๊ง-อาไท้
ถึงแม้ว่าเขาพูดจีนไม่ได้สักคำ  ก็ยังบ่งชัดได้ว่าพวกเขายังมีเชื้อสายจีนหลงเหลืออยู่
แต่ถ้าวันไหนที่คุณสอนลูกเรียก พ่อ-แม่  ถึงจะใช้เซี่ยงอยู่  วันนั้นคุณก็ตัดเชื้อสายจีนออกจากตัวคุณ  หลานคุณก็ไม่มีอากุ๊ง-อาม่าแน่นอน

รูปภาพของ suthin_sun

สืบสานวัฒนธรรม

สืบสานวัฒนธรรม เป็นเรื่องน่ายินดี ข้อมูลระเบียบแบบแผนถ้ามีการจดบันทึก

 เป็นรายละเอียดไว้ให้ได้ใช้อ้างอิง และบันทึกพิธีจริงไว้น่าจะเป็นประโยชน์ในภายภาคน่าแก่ชนรุ่นหลัง เลยถือโอกาสสอบถามเลยนะครับ ปันซันขัก ในความหมายที่เป็นวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นนี้ กินอาณาบริเวณขนาดไหนครับ หรือเฉพาะแค่ที่ฮงสุน ขอบคุณครับ

ปั้นซันขัก


ตอนนั้ เรามีชมรมเล็กๆเป็นกลุ่มปั้นซันขัก มาจากเกดซี เกดหยอง และฟุ้งสุ่น  วัฒนธรรมประเพณีของปั้นซันขัก จะคล้ายๆกัน

ปัญหาถ้าหากมีงานศพที่เป็นของคนปั้นซันขัก  คนที่มาเป็นเจ้าพิธีก็เหลือน้อยเต็มที หลายๆสมาคมเซี่ยงแต่ละเซี่ยงก็เหลือแอาวุโสที่รู้งานไม่มากแล้ว บางสมาคมต้องยุบกลุ่มสวัสดิการไปเลย  ทุกวันนี้กลุ่มสวัสดิการและพิธีการของปั้นซันขักก็มาจากฟุ้งสุ่นจะเกาะกันแน่นอยู่

เพื่อการถ่ายทอด ขนบธรรมเนียมต่างๆของปั้นซันขัก  จึงจะรวมกลุ่มเพื่อเผยแพร่ต่อชาวปั้นซันขักทั้งหมด  ไม่ว่าแห่งหนตำบลใด   เราถือว่าถ้าพูดภาษาปั้นซันขักก็เป็นครอบครัวเดียวกัน  

ตอนนี้ก็เริ่มการเรียบเรียงศัพท์ภาษาปั้นซันขักให้เป็นรูปเป็นร่าง  และทำหนังสือพิธีกรรมประเพณีของปั้นซันขัก  กลุ่มเราไม่ใช่ผู้รู้  แต่จะใช้ส่วนนี้ไว้สอบถามท่านผู้รู้  ท่านอาวุโสหลายๆท่านช่วยให้คำแนะนำ ติ-ชม  ผมว่าทุกอย่างก็น่าจะสำเร็จ
และจะเป็นหนังสือไว้อ้างอิงต่อๆไป

รูปภาพของ suthin_sun

ขอบคุณครับ

ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูล พท.กลุ่มวัฒนธรรมปันซันขัก สำหรับเรื่องการออกมารวบรวมบันทึกวัฒนธรรมประเพณี เป็นเรื่องน่ายกย่องและน่ายินดีครับผมสนังหนุน1เสียง ไม่มีใครรู้ไปทุกเรื่อง รู้ไปทุกอย่างมีแต่ผู้เสียสละทำเรื่องดีๆ อีกความเห็นนึงนะครับ เรื่องประเพณีจริงๆสมัยนี้การติดต่อสื่อสารกลับญาติที่เมืองจีนสะดวกง่ายดาย ด้วยแอฟ Wechat ถ้าใครสามารถพูดภาษาได้(ผมติดต่อกับหลานๆที่นั่นได้ แต่ตัวเองพูดจีนไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษกันแบบกระท่อนกระแท่น)การสอบถามพิธีการจากที่นั่นด้วยก็น่าจะเป็นอะไรที่ดีมากเลย จะได้ขนบธรรมเนียมประเพณีจากต้นตอแต่ก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ความจริงผมไปที่นั่นมา2ครั้งพี่ชายก็จะจ้างล่ามมาประกบตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น ยังเสียดายเลยว่าพี่น้องคุยกันผ่านล่าม เรื่องบางเรื่องประวัติในครอบครัวก็อยากสอบถามกันเองก็ทำไม่ได้ อีกเรื่องหนึ่งที่มีโอกาสถามล่ามว่า ปันซันขักเราไหว้เจ้าทั้งหลายที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตแต้จิ๋วไหม เขาก็บอกว่าวัฒนธรรมปันซันขักเน้นการไหว้ไหว้บรรพชนมากกว่า ในมุมมองผมเห็นว่า กรณีนี้คงเป็นอัตตาลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างหนึ่งที่ชัดเจน ระหว่าง2วัฒนธรรม

半山客 福利股典礼組 4


วันนี้จะพูดถึง  เมื่อมีคนตายในครอบครัว   ซึ่งบางครั้งคนที่เคยจัดให้คนอื่นมามากต่อมากพอถึงงานตนเองก็งงๆเหมือนกัน

1. ติดต่อสมาคมจีน หรือผู้รู้-เพื่อนสนิท  ช่วยดำเนินการพิธีกรรมต่างๆ
2. ติดต่อซินแสหรืออาจารย์  (กรณีต้องการดูฤกษ์  เพื่อพิธีฝัง)
3. ติดต่อร้านโลงศพ  และเคลื่อนศพ
4. ติดต่อวัดหรือมูลนิธิ  เพื่อจัดสวดพระอภิธรรม  และเพื่่อพิธีฌาปนกิจเผา (หากไม่นำไปฝัง)
5. นิมนต์พระภิกษุ  เพื่อจูงศพเคลื่อนไปที่วัด  และทำพิธีบรรจุ  และวันส่งศพ
6. ติดต่อ  เขตที่ผู้ตายอาศัย  เพื่อออกใบมรณะบัตร(เตรียมบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน  ของคนตายและคนแจ้ง)
7. ติดต่อสุสานที่จะต้องนำศพไปฝัง ให้ทำความสะอาด แจ้งวันที่จะไปฝัง
8. ติดต่อเจ้าพิธีการ  จัดของเซ่นไหว้ต่างๆตลอดงาน
9. ติดต่อร้านดอกไม้มาจัดแต่งหน้าพิธี
10.ติดต่อ อาหารหรือของว่าง ในระหว่างสวดพระอภิธรรม
11.ติดต่อพระนิกายจีน เพื่อทำพิธีกงเต็ก

ใ น ก ร ณี ฌ า ป น กิ จ ป ระ ชุ ม เ พ ลิ ง     ใ ห้ ติ ด ต่ อ ที่ วั ด แ ห่ ง เ ดี ย ว

ก่อนอื่น เมื่อต้องการทำพิธีจีน  ก็ควรไถ่ถามประวัติไว้ก่อน
วันเดือนปีเกิด-เวลาเกิด      ชื่อพ่อ-แม่  และชื่อปู่ย่า 

เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น  ตั้งสติ  หาเพื่อนหรือญาติสนิทที่ไว้ใจช่วยสั่งการแทน
เพราะเจ้าภาพทุกท่านอยู่ในช่วงเศร้าโศกเสียใจ

บทความนี้พอจะแนะไม่ให้สับสน   

คนปั้นซันขัก


เมื่อคุณ Suthin Sun เล่ามามีส่วนหนึ่งที่ใช่
คุณไปท่องคัง  หรือใครมีญาติที่ฟุ้งสุ่น  เคยสังเกตุไหมว่า  แต่ละบ้านไม่มีเจ้าที่ 地主爺
ชูหยิด初一  ซิบอื้อ 十五  ไม่มีการไหว้เจ้าที่  ไม่เหมือนที่เมืองไทย

เคยถามผู้เฒ่าผู้อาวุโส   เขาบอกว่า  เมื่อสมัยก่อนแต่ละหมู่บ้านจะมี ปุ้นเถวกุ้งและปุ้นเถวม่า  本頭公 本頭媽  ใครมีปัญหาก็ไปกราบไหว้วิงวอน   เมื่อคอมมิวนิตส์เข้ามาปกครอง กลุ่มเรดการ์ด  ก็ทุบทำลายศาลและศาสนาทิ้งจนหมดหาว่าลุ่มหลงและมีโทษถึงตาย  ความศรัทธาของชาวบ้านก็ค่อยหมดไป  คนรุ่นใหม่ซึ่งถูกล้างสมองจากกลุ่มเรดการ์ด  ซึ่งมาเป็นคนแก่ยุคนี้  ก็เลยไม่เคร่งครัดมากนัก

แต่ถ้าไปเยี่ยมบ้านคนปั้นซันขักบางบ้าน  จะมีป้ายบรรพบุรุษเรียงรายตามลำดับ
พวกเขายังไหว้บูชาบรรพบุรุษของเขา

คนปั้นซันขักในเมืองไทยมาไหว้เจ้าตามคนฮอกล่อ  แต่เมื่อพูดถึงขนบธรรมเนียมและประเพณีต่างๆ  ทางประเทศจีนต้องมาศึกษาจากประเทศไทย  เพราะของเขาถูกล้างทิ้งหมดไปนานแล้ว

ชาวฮอกล่อมีศรัทธาต่อศาลเจ้าและเทพเจ้า   ที่ศาลเจ้าพ่อเสื่อที่ประเทศจีน 大老爺
คนดูแลศาลและคนขายธูปเทียนสามารถพูดภาษาไทยได้   ก็คือคนไทยจะไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเสือที่จีนมาก  คนไทยที่ไปลงเครื่องซัวเถา  จะต้องเหมารถไปไหว้ ศาลเจ้าพ่อเสือ และไต่ฮงกง  เกือบทุกคน 

ทุกวันนี้ประเพณีวัฒนะธรรมต่างๆ  จะค่อยๆเลือนหายไปเพราะผู้อาวุโสแต่ละท่านไม่ได้เขียนตำราให้ศึกษา  มีแต่บอกเล่าเป็นตำนานสืบต่อ

พิธีกรรมต่างๆของคนไทย  มีความพิถีพิถันมากกว่าประเทศจีน  ทำทุกอย่างมีความหมาย  ไม่ใช่สับแต่ไหว้ แล้วกินโต๊ะจีน

ผมไหว้อากุ๊ง-อาม่าทุกปี  ผมเคยถามว่าถ้าหากผมไม่มาไหว้แล้วทำยังไง
ญาติที่จีนตอบง่ายๆว่า เขาจะจุดธูปเชิญอากุ๊ง-อาม่าลงมากินที่บ้านเขา 

ดังนั้นพวกเราถูกสอนสั่งเรื่องกตัญญูกตเวที  ม่ากกว่าที่ประเทศจีน
ตอนนี้ยังมีกำลังจะปีนเขา 2-3 ลูกไปไหว้อากุ๊-อาม่าได้  แต่ถ้าหากผมไม่มีปัญญาปีนเขาได้ อากุ๊ง-อาม่าก็คงอดไปด้วย 

รูปภาพของ suthin_sun

วัฒนธรรมที่แตกต่าง

วัฒนธรรมที่แตกต่าง คนแต้จิ๋วมีคำพูดหนึ่งสะท้อนตัวตนอย่างภูมิใจเล็กน้อยว่า คนแต้จิ๋วเป็นกลุ่มวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดเทพเจ้ามากกว่าใครเพื่อนในหมู่คนจีน คล้ายคนยิวประกาศว่าพระเจ้าเป็นคนยิวประมาณนั้น จะด้วยเหตุผลใดก็ตามสังคมแต้จิ๋ว คล้ายถูกแช่แข็งทั้งสำเนียงภาษา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เชื่อว่าย้อนไปถึงสมัยต้าถัง เลยที่เดียว แต่วัฒนธรรมคนฮากกากจะสืบทอดวัฒนธรรมชาวฮั่นจากทางตอนเหนือที่บรรพชนเคยมีถิ่นฐานอยู่เดิมที่ เป็นวัฒนธรรมหลังยุคต้าถังมาแล้วและเป็นการอพยพถิ่นฐานด้วยเหตุผลที่ไม่ปรกติซักเท่าไหร่ น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้การรักษาอัตตาลักษณ์ตนเองยิ่งเข้มข้นกว่าปรกติ ปักซันขัก ตามการตั้งสมมุติฐานของผม เชื่อว่าเป็นสังคมที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานวัฒนธรรมคนแต้จิ๋วกับคนฮากกา เข้าด้วยกันเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่ วัฒฯธรรมดั้งเดิมคือ ฮากกาแท้ๆ กับแต้จิ๋วก็มองดูแปลกแยก ของไทยเราก็มีวัฒนธรรมใหม่ที่ผสมผสานระหว่าง2 วัฒนธรรมเดิมเกิด วัฒนธรรมใหม่ก็คือ สังคมไทยโคราช ที่มีคำจำกัดความสั้นๆว่า ไทยก็ไม่ใช่ ลาวก็ไม่เชิง กะเลยกลายเป็นไทยเดิ่ง ที่ไทยกับลาวก็ไม่ค่อยจะยอมรับว่าเป็นพวกด้วย ผมว่า การสนทนาเรื่องแบบนี้ต้องเป็นแบบวงสนทนากันเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจใหม่ ถ้าเขียนอธิบายความกันอาจเกิดการตีความกันผิดๆ กลายเป็นวิวาทะไป แบบที่เกิดขึ้นหลายครั้งที่นี่ในหลายๆกระทู้ 55

รูปภาพของ suthin_sun

ช่วงเดินทางไปในถิ่นปันซันขัก

ช่วงเดินทางไปในถิ่นปันซันขัก ผมมีโชคในหลายๆด้าน ทั้งที่ด้อยในข้อจำกัดส่วนตัว ในเกือบทุกๆด้าน คือ

  1. พูดจีนไม่ได้
  2. ด้านขนบธรรมเนียมประเพณีก็ย่อหย่อน
  3. พื้นฐานข้อมูลเกี่ยวกับเมืองจีนแทบไม่มีเลย แต่กลับเหมือนมีปาฎิหาริย์หลายเรื่องที่แทบไม่น่าเชื่อผลักดันให้ได้ไปยังถิ่น ปิตุภูมิ(บ้านเตี่ย นะครับ)

ถ้าเล่าคงจะยาวหลายกิโล แต่ทำให้ความเชื่อเรื่องบรรพชนฮากกา นั้นเข้มข้นสมกับเป็นเทพเจ้าของลูกหลานตามความเชื่อที่สืบทอดกันมา มากว่าการไปยึดถือเทพเจ้าปรำปราแบบชาวแต้จิ๋ว  และอาจจะเป็นเพราะความเป็นสายเลือดฮากกาด้วยที่ทำให้ได้ไปเยือนถิ่นปิตุภูมิ และทำให้อยากค้นคว้าเรื่องราวมากขึ้นไปเรื่อยๆ  

เรื่องเหตุบังเอิญรึปาฎิหาริย์ จริงๆอยากจะเล่าให้เป็นแรงบันดาลใจลูกหลานชาวฮากกาว่า ถ้าเราตระหนักรู้ถึงตัวตนเรารากเหง้าของเรา และเคารพในศรัทราในบรรพชนและอยากกลับไปกราบไหว้ดูเหมือนจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกใ้ห้เราได้ไป สำเร็จตามความมุ่งมั่นนั้น

การเตรียมของใช้สำหรับผู้ตาย

ลูกหลานจะจัดของใช้ส่วนตัวให้กับผู้ตาย
  1. ผ้าคลุมศพ หรือผ้าห่ม
  2. ภาพถ่ายของผู้ตาย  ใส่กรอบรูปตั้งหน้าโลงศพ
  3. ของใช้ส่วนตัวของผู้ตาย  
    • เสื้อ  ให้เย็บกรัเป๋าทุกใบ แบบไม่มีปม  เลือชุดผู้ตายชอบที่สุด
    • รองเท้า   ไม้เท้า   แว่นตา   ฟันปลอม(ถ้ามี)
  4. กระดาษใบเบิกทาง  หีือ  อวงแซจี้  (นิยมซื้อเป็นกล่อง ใช้ได้ตลอดงาน)
  5. ดอกบัว 3 ดอก
  6. ยอดต้นทับทิม
  7. ผลไม้ 5 อย่าง  ส้ม , กล้วยหอม , แอ็ปเปิ้ล , องุ่น , แก้วมังกร , ลองกอง ,ลำใย
  8. ผักเจ 5 อย่าง   สาหร่ายทะเล  เห็ดหูหนู , เห็ดหอม , วุ้นเส้น , ฟองเต้าหู้ , ดอกไม้จีน
  9. ธูปเล็ก , ธูปใหญ่ , เทียนใหญ่ (สีขาว)  ซองขาว , ซองแดง , ด้ายแดง , การ์ด
ขอบคุณ , สมุดเซ็นชื่อ  ปากกาเมจิ
รูปภาพของ อิชยา

ติดตามอ่า

ติดตามอ่านค่ะ. และคงมีรายละเอียดเพิ่มอีกนะค่ะ. 

เข้ามาลองทำอักษรตัวใหญ่ด้วยค่ะ

ขนาดที่ลองให้ดูนี่คือ ขนาด 18 ค่ะ 

รูปภาพของ อาคม

เรื่องบังเอิญหรือปฏิหารย์

ก๊อสุทิน ไหงมีเพื่อนที่มีรากเหง้าเดียวกับหงีหลายคนจากหลายครัวหลายถิ่นในไทย ไถ่หลอหวอง หงีว่าหงีมีเรื่องเล่าบังเอิญหรือปฎิหารย์มากมายยาวก็ไม่เป็นไร ว่างๆก็เอามาแบ่งปันกัน เรื่องพวกนี้คงไม่ใช่การบังเอิญ แต่ไหงว่าคงเป็นพรหมลิขิต และหรือจิตวิญญาณบรรพชนที่คอยนำพาให้ลูกหลานที่มีความตั้งใจไปหารากเหง้า แล้วก็ได้พบเจอเหมือนบังเอิญหรือปฏิหารย์ ซึ่งเรื่องแบบนี้ไหง่ประสพมาหลายครั้งพูดถึงครั้งใด ก็ ฟัดแกหมาผี ขนลุกทุกครั้งไป 

รูปภาพของ suthin_sun

อยากเล่า

อยากเล่า แต่กลัวคนจะว่างมงาย แต่ศรัทรา ปาฏิหาริย์ กับความงมงายมันมีแค่เส้นบางๆกั้นอยู่แต่ความรู้สึกส่วนตัวมีความเชื่อเรื่อง บรรพชนดูแลลูกหลานและดลจิตดลใจ ลูกหลานนั้นมีอยู่จริง

รูปภาพของ suthin_sun

เรื่องความบังเอิญ รึความอัศจรรย์ที่หาคำอธิบายไม่ได้

ครอบครัวผม เตี่ยเป็นคนในตัวตลาดทึงแค  มีภรรยา(แม่เมืองจีน)มีลูก2คนเดินทางมาไทยในช่วงลูกคนแรก3-4ขวบ อีกคนยังอยู่ในท้องแม่(คนในท้องนี่เป็นตัวละครสำคัญเลยในการ เชื่องโยงพี่น้อง ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าเตี่ย) ประมาณปี พส.2580ปลายๆ ไปตั้งรกรากทำมาหากินหลายที่ ทั้งที่ ภูเขียว ชนบท และไปจบลงที่อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ เตี่ยผมเสียชีวิตพศง2508 ผมเป็นลูกสุดท้อง อายุตอนนั้นประมาณ3-4ขวบ เรียกว่ายังไม่รู้ประสีประสา เตี่ยตายยังวิ่งว่อนเล่นอยู่ในงานศพอยู่เลย ทางเมืองจีนหลังจากเตี่ยจากมา ความลำบากในสังคมขณะนั้น ทำให้แม่เมืองจีน หลังจากคลอดลูกคนเล็กและโตพอรู้ความ ก็ฝากลูกคนเล็กไว้กับ ลูกพี่ลูกน้องของเตี่ยให้เลี้ยงลูกคนเล็ก ตัวเองและลูกคนโตต้องออกไปหางานทำที่เขตซัวเถาและขาดการติดต่อกับพี่ชายคนที่2 ของผมไปเลย ทำให้แกขาดทั้งพ่อ แม่และพี่ชายต้องอาศัยอยู่กับญาติเป็นกำพร้าตั้งแต่เด็ก เวลาแกเล่าให้ฟัง(สมัยนั้น(พศ2490-2500)ก่อนยุคปฏิวัติวัฒนธรรมนิดหน่อยเป็นช่วงสร้างชาติ)เราฟังไม่รู้ แต่รู้สึกได้ถึงความรันทดและลำบาก ไอ้คนที่ร้องไห้เป็นเผาเต่าคือล่ามที่ฟังรู้เรื่อง แปลไปสะอึกสะอื้นไป จะฮาดีไหมเนี่ยะ แกโตขึ้นมาพอรู้หนังสือก็ติดต่อกับเตี่ยกันด้วยจดหลาย สมัยนั้นจดหมายใช้เวลาเดินทาง5-6เดือนได้รับจดหมายทีตอบกลับไปมาเกือบ1ปีพอดี ตัวพี่ชายอยู่ที่เมืองจีนต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตนเองและได้เป็นทหารพรรค คอมนิวนิสต์ และในช่วงที่แกได้แต่งงาน เตี่ยที่อยู่เมืองไทยก็เสียชืวิต ตามที่เล่าให้ฟังข้างบนแล้ว เล่าปูพื้นพอให้ฟังเป็นสังเขป จะได้พอเข้าใจสภาพเหตุการณ์

 

รูปภาพของ suthin_sun

ภายหลังปี พศ2508

ภายหลังปี พศ2508 ที่เตี่ยเสียชีวิต ดูเหมือนว่าสายสัมพันธ์ระหว่าง พี่ชายที่เมืองจีน และพวกผมที่เป็นลูกแม่เมืองไทยมีด้วยกัน7คนจะขาดสะบั้นหายไป โดยเฉพาะผมที่เด็กมากก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แม่ก็เลี้ยงแบบลูกธรรมเนียมคนจีนแต้จิ๋วทั่วๆไป(แม่ผม แซ่เต็ง ที่ห้วยราช แต่ตามที่สอบถามที่ห้วยราช บุรีรัมย์ ก็มีคนจีน ทั้งแต้จิ๋ว และฮากกาปัวซัวแขะ อยู่พอๆกัน  ตัวผมไม่รู้ภาษาจีน (ตอนเด็กโดนแม่บังคับให้เรียนอยู่ แต่ไม่สนใจจนแกยอมแพ้)  พูดง่ายคือฝั่งพวกผมนี่แทบไม่เคยสนใจ เรื่องญาติที่เมืองจีนเลย เพราะไม่รู้จะตืดต่อกันยังไง ครังสุดท้ายคือ แม่ผมเขียนจดหมายแจ้งการเสียชีวิตของเตี่ยไปทางเมืองจีน แต่เตี่ยก็ฝังฮวงซุ้ย ที่สุสานของมูลนิธิที่บุรีรัมย์(ตามความเชื่อผม บรรพชนที่ฝังเป็นที่รวบรวมลูกหลาน) แต่ที่มารู้ภายหลังคือคนทางโน้น พี่ชายคนที่2 โหยหาความเป็นพี่น้อง ความเป็นญาติ เพราะแกไร้ญาติขาดมิตร(ในความเป็นพี่น้องกันแท้ๆ) แกมีความตั้งใจจะมาเมืองไทยเพื่อมาไหว้ฮวงซุ้ยเตี่ยให้ได้ซักครั้ง ถ้าสมัยนี้คงดูเหมือนง่าย แต่ในสภาวะยุคแกคนที่คิดนี่เหมือนเพ้อฝันเลยที่เดียว ทั้งภาวะเศรษฐกิจ(ความแพงของการเดินทางมาไทยที่ เงินหยวนแสนจะด้อยค่า ถ้าให้เปรียบเทียบคงแพงพอๆกับคนไทยเราฝันเดืนทางไปยุโรป รีอเมริกานั่นเชียว สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมือง  คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า มีขบวนการเฝ้าจับตาคนเอาในออกห่างลัทธิการปกครอง

 

รูปภาพของ suthin_sun

ขอแทรกสภาวะเหตุการณ์ จีนในยุคนั้น

อยากเล่าแทรกเรื่องบางเรื่องในยุคนั้น 2480-2520 จากคำบอกเล่าของพี่ชาย ผ่านล่าม และตัวล่ามเองเล่าเองด้วย(เอาเป็นว่าบันทึก ปวศ.ชายขอบโดยชาวบ้านไม่ใช่ มตฐ.แบบวิชาการ สภาวะยุคก่อนปฎิวัติวัฒนธรรมระหว่างและหลังสงครามกลางเมือง(พศ.2470-2490) เป็นสภาพบ้านเมืองระส่ำระสายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวจีน ทิ่งถิ่นฐานบ้านเกิดออกมาเผชิญโชคเป็นคนจีนโพ้นทะเล มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายรบราฆ่าฟันกัน ใน พท.ที่ไม่ใช่ ยุทธศาสตร์ก็เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน มีการปล้นฆ่าชิงทรัพย์กัน และเข้าสู่ยุคปฎิวัติวัฒนธรรมก็มีการกวาดล้างกันอีกครั้งด้วยยุวชนเรดการ์ดพี่ชายเล่าให้ฟังว่าบ้านเดิมของครอบครัว เป็นบ้านโบราณคล้ายบ้าน ซือเหอหยวน ของจีนตอนเหนือเรียกว่าบ้าน สี่เตี๊ยมกิม(ผมเคยโพสไว้ในบล็อคผมอยู่) โดยส่วนมากหน้าบ้านก็จะติด จะมีป้ายบนทางเข้าโดยมากก็จะเขียนด้วยคำมงคลต่างๆ จากเหตุการณ์ซ้ายพิฆาตขวา และทำลายล้างจารีตเดิม แกเล่าให้ฟังว่าต้องรีบเอาสีลบและเขียนอักษรว่า ประธานเหมาจงเจริญ  บ้านไหนไม่ทำรึเพิกเฉยก็เดือดร้อนกันไป แกเล่าไปก็ยิ้มน้อยๆส่ายหัวไปเป็นเรื่องขำในปัจจุบัน แต่ยุคนั้นคืดเอากันถึงตาย ตัวล่ามเองครอบครัวเป็น กำนันเก่าของราชวงศ์ชิง อากงเขาโดนจับประหาร ทรัพย์สินในตระกูลโดนยึดหมด วัดวาอารามโดนปิด พระเจ้าถูกส่งเข้าคอมมูนเพื่อใช้แรงงาน เจ้าอาวาสยุคนั้นต้องทำงานหนักในคอมมูนหลายปี เมื่อสภาวะบ้านเมืองคลี่คลาย ท่านก็กลับมาเป็นพระที่วัดเดิมในตลาดทึงแค เมื่อมรณะภาพ สรีระท่านก็ไม่เน่าเปื่อยเป็นที่อัศจรรย์ สรุปว่ายุคนั้นการดำรงชีวิตอยู่ยากมาก ไม่รู้ใครเป็นใคร ต่างหวาดระแวงกันและกัน ไม่เป็นอันต้องทำมาหากิน  เป็นยุคมืด ล่ามว่าแบบนั้น ยุคมืดมนอนธกาล พี่ชายเป็นทหารบก ประจำอยู่ทางฝั่งตะวันตกของจีนในช่วงๆแรกๆ ห่างไกลบ้านมาก แกเคยพยามย้ายสังกัดเป็น?หารอากาศหลายครังแต่ก็ไม่ได้รับการอนุมัติ(แกบอกสมัยนั้น ทหารอากาศ ก็อาศัยการเดินทางเครื่องบินของกองทัพได้ แกก็สงสัยว่าทำไมเขาไม่อนุมัติ แกพูดติดตลกว่า เขาคงกลัวแกเป็นแนวที่5 ให้ ก๊กหมินตั๋ง เพราะมีพ่ออยู่ในไทย)  แต่หัวใจอันแรงกล้าของพี่ชายคนที่2 ที่อยากมากราบไหว้สุสานเตี่ย ที่เมืองไทยก็ไม่เคยเปลี่ยน 

รูปภาพของ suthin_sun

ลมเปลี่ยนทิศ การเมืองเปลี่ยนขั้ว

หลังยุค แกงค์4คนหมดอำนาจประเทศจีนก็เข้าสู่ สังคมเสรษฐกิจนำหน้า ปฎิวัติอุตสาหกรรมการผลิต เริ่มต้นเงียบช่วง 2520ปลายๆ เริ่มสร้างเสรษฐกิจพิเศษแห่งแรก ที่เสิ้นเจิ้น ตามยุทธศาสตร์เพื่อวัตถุประสงค์ในหลายๆด้าน รวมทั้งเรื่องของการคืนเกาะฮ่องกงด้วย การเดินทางออกนอกประเทศของคนจีนผ่อนปรนลง นโยบายระดมทุนคนจีนโพ้นทะเลเริ่มรณรงค์จริงจังขึ้น ในช่วงนี้พี่ชายได้ขอย้ายสังกัดจากทหารมาเป็น ขรก.ขนส่งและย้ายกลับมาประจำอยู่บ้านเกิดฮงสุน ความเป็นไปได้ในการเดินทางมาเมืองไทยมีมากขึ้น เพราะทางการอนุญาติ แต่ค่าใช้จ่ายต้องถือว่าสูงอยู่พอสมควร เมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนต่อค่าครองชีพ และต้องนั่งรถยนต์3-400 กม.ข้ามมาฝั่งฮ่องกงเพื่อขึ้นเครื่องบิน และเบาะแสที่มีเพียงน้อยนิดคือจดหมายจากเมืองไทย ที่บอกต้นทางแค่ว่ามาจาก อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ที่น่าทึ่งและน่าแปลกใจคือแกเก็บจดหมายไว้ได้อย่างไรเป็นเวลาผ่านมา30 กว่าปี ถ้าไม่ใช่ความปราถนาอันแรงกล้า และต้องระหกระเหินไปประจำการที่ห่างไกล จดหมายนี้คงเป็นสิ่งล้ำค่าของแกจริง และโอกาสอำนวยแกก็เดินทางมาด้วยตัวคนเดียว กับจดหมายเบาะแสที่ว่า และรูปถ่ายน้องชาย(พี่ชายคนโตผมที่เมืองไทย รูปนั้นก็เป็นรูปเด็กวัยรุ่นอายุ14-15 ที่แนบไปในจดหมายส่งข่าวเรื่องเตี่ยเสียชีวิต เมื่อประมาณ 2530-2535 ประมาณนี้ผมจำไม่ได้แน่ชัด จำได้แค่ว่าผมเรียนจบแล้ว และมาก่อนเกิด พฤษพาทมิฬ ในประเทศไทย

 

รูปภาพของ suthin_sun

การเดินทาง มาเพื่อไหว้เตี่ยและพบเจอน้องๆ

พี่ชายแกเดินทางมาคนเดียว และเมื่อถึงเมืองไทยก็เดินทางจาก กทม.มาบุรีรัมย์ ด้วยรถไปตามข้อมูลที่แกมีมา เพื่อจะเดินทางต่อไป อ.สตึก หลังจากถึงบุรีรัมย์ ปัญหาคือแกเป็นคนจีนที่ พูดไทยไม่ได้เลย ไม่มีข้อมูลในการใช้สอบถามเป็นภาษาไทยเลยนอกจากรูปถ่ายที่เป็นภาพ เป็นสากลไม่ต้องมีภาษา เห็นภาพก็รู้แค่นั้นเอง เมื่อแกลงรถไฟที่สถานีบุรีรัมย การเดินทางต่อไป อ.สตึก สถานีรถโดยสาร ต่างอำเภอไม่ได้อยู่ติดกับสถานีรถไฟผมก็งงว่าถ้าไม่มีความบังเอิญหลายอย่างช่วยแก แกจะต้องเสียเวลาในการสอบถามเพื่อถึงที่หมายด้วยเวลาอีกเท่าไหร่ พูดถึงแกไปถามตามร้านค้าคนจีนก็อาจพอสื่อสารได้ แต่ไม่ใช่ว่าคนใน จ.หวัด บุรีรัมย์จะรู้จักครอบครัวผมเพราะไม่ใช่คนดัง55 ถึงแม้ว่าญาติพี่น้องผมในตัวเมืองบุรีรัมย์จะมีอยู่ถึง8-10 ครอบครัวก็ตาม ความบังเอิญแรกคือ สมัยนั้นมีรถแท็กซี่ป้ายดำ วิ่งระหว่าง บุรีรัมย์สตึก เพราะรถโดยสารมีน้อยเที่ยวต่อวัน บริการรถแท็กซี่เลยเฟื่อฟูในยุคนั้น(รถส่วนตัวมีกันไม่มาก)  ให้บังเอิญว่ารถแท็กซี่สตึกได้มาส่งคน ที่สถานีรถไปพอดีกับเวลาที่แกลงรถไป บังเอิญที่2 คนขับแท็กซี่เป็นเพื่อนกับพี่ชายคนโตของผม (ถ้าเป็นคนอื่นเห็นรูปคนที่ไม่สนิทในอดีต ที่ปัจจุบันอายุ40กว่า แล้วเป็นรูปตอน14-15 คงยากที่จะบอกว่าเป็นใคร)  พี่ชายก็ถามแท็กซี ว่าจะไปสตึกด้วย สำเนียงจีน ซาเต๊กๆๆ อืมก็ฟังกันรู้เรื่องหนอ โชเฟอร์ก็คงถามว่าจะไปบ้านใครในสตึก แกก็ควักรูปน้องชายให้ โชเฟอร์ดูอย่างมั่นใจ 555+ ทำยังวกะ บุรีรัมย์มีคนอยู่100-200คน  โชเฟอร์ดูรูปซักพัก ก็อุทานว่า่ บักอ๋า(ชื่อเล่นพี่ชายผม อ๋า)ตั๊วนี่ เสี่ยวข่อยๆเอง  เรื่องของเรื่องก็ เอวังด้วยประการละฉะนี้  เป็นการเดินทางที่ยาวไกลแต่ราบรื่น ถึงบ้านเตี่ยที่เมืองไทยอย่างไม่น่าเชื่อ ได้ไหว้สุสานเตี่ย สมใจ ช่วงแกมาเมืองไทยอายุประมาณ50กว่าๆ ปัจจุบัน 81-82ปี  เป็นเตี่ยที่มีความสุขมาก ที่ตลาดทึงแค เพราะมีลูก4คน  2คนเป็นเจ้าของโรงงาน SME ทำชิ้นส่วนอุปกรณ์ลำโพง อีก2คนรับราชการ เป็นอากงที่สุขยิ่งกว่าเพราะมีหลานตอนนี้11-12 คน 

รูปภาพของ suthin_sun

อัศจรรย์ที่เกิดกับตัวเอง

อัศจรรย์ที่เกิดกับตัวเอง ว่างๆจะมาเล่าต่อว่าการได้ไปบ้านเกิดเตี่ย และไปไหว้ บรรพชน ไท้กง ไท้โป้ว( ผมสะกดตามที่คิดว่าหูได้ยินนะคับ) อาเหล่ากง อาเหล่าม่า ก็มีเรื่องแปลกๆ บังเอิญๆที่น่าอัศจรรย์ และมีแรงผลักน้อยๆที่เราสัมผ้สได้เฉพาะตน เป็นความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้

ความอัศจรรย์ที่มีความพยายาม


ที่คุญสุทินเล่าถึงความมุมานะของพี่ชายที่เดินทางมาประเทศไทย  ผมเชื่อครับซึ่งอาจจะเป็นความอัศจรรย์  

คนจีนทุกคนถูกสอนให้รู้จัก กตัญญูกตเวที 孝  คำนี้ยิ่งใหญ่สำหรับบุตรหลานคนจีนอย่างมาก

ตอนอากุ๊งมาเมืองไทยอยู่แถวสุพรรณบุรี  ปลูกใบยาสูบ  ได้ถูกโจรปล้นฆ่าตาย  เมื่อมีเพื่อนของกุ๊งส่งข่าวไปที่จีน  อาม่าร้องไห้ทุกวัน  ร้องไห้เป็นเดือนๆจนไม่มีน้ำตา  บ่นแต่ต้องเอากระดูกกลับมาบ้านเกิด  อาม่าร้องจนตาอักเสบและบอดมองไม่เห็นทั้ง 2 ข้าง  ตอนนั้นอาป๊าอายุ 17 ปี  ช่วงนั้นเกิดกุลียุค  ไม่มีงานทำ   ที่บ้านก็ไม่มีเงิน
อาป๊าอาสามาเอากระดูกของอากุ๊งกลับมา  แต่ไม่กล้าบอกอาม่า อาป๊าหนีมากับกลุ่มที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเรือ  โดยอาศัยเดินลุยป่ามาเมืองไทยเพื่อจะอากระดูกอากุ๊งกลับไปจีน

สิ่งหนึ่งคือยอมรับความกตัญญูกตเวทีของท่าน  สมัยก่อนแปดสิบปีก่อน  การเดินลุยป่าต้องเป็นป่าทึบ  ใช้เวลาเป็นปีๆ  กว่าจะถึงเมืองไทย  แล้วคำว่า 孝 นี้ ตกทอดมาถึงรุ่นหลัง  ต้องทำต่อเนื่อง ผมก็ต้องสอนลูกๆให้นับถือ กราบไหว้ผู้ที่อาวุโส  สอนให้ลูกๆให้รู้จักบุญคุณผู้ที่อุปการะเรามา

เรื่องอัศจรรย์ของหลายๆครอบครัว  มีและเหมือนจะคล้ายๆกัน   หน้าที่ของลูกๆก็คือต้องเอากระดูกพ่อแม่ไปฝัง   ส่งท่านสู่สวรรค์  บางครั้งต้องเชิญท่านมาสถิตย์อยู่ที่บ้าน  เพื่อเป็นเทพในบ้าน เพื่อคุ้มครองลูกหลาน  เจ้าที่เจ้าทางเราไหว้  แต่ที่สำคัญก็ต้องไหว้บรรพชนทุกๆครั้ง 

นี่แหละ "คนปั้นซันขัก" 

ที่ท้องคัง  เลยไปทางบ่อน้ำร้อน  จะมีวัดๆหนึ่ง ชื่อว่า วัดไท้ผิง 太平 ข้างหน้าเห็นเป็นศาลเจ้าเล็กๆ  ด้านในกว้าง  ชั้นบนมีพระที่สรีระไม่เน่าเปลื่อยให้สาธุชนไปกราบไหว้

พี่ชายคุณสุทินถือว่ามีความรับผิดชอบและความมุ่งมั่นอย่างมาก  นับถือครับ 
เราถือว่าบรรพชนเป็นผู้ชี้นำมาให้ลูกหลานได้พบปะกัน  คนจีนไม่ถือว่าพ่อจะไปมีเมียกี่คน  แต่ที่สำคัญคือพี่น้องเชื้อสายเดียวกัน  ทุกคนดีใจว่ามีพี่น้อง

เรื่องบางเรื่องไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  มีจริงหรือไม่มันประจักษ์ที่ใจเรา

ถ้าท่านคิดว่าเป็นลูกหลานคนจีน  ควรหาโอกาสไปไหว้ บรรพชนที่บ้านเกิดของบรรพชนแล้วจะรู้ถึงสายสัมพันธ์  แม้จะสื่อภาษาไม่ได้  พวกเขาจะต้อนรับเราอย่างดี  และครั้งต่อๆไปท่านจะต้องเดินทางไปไหว้อีกทุกๆปี  ไหว้ไท้กง ไหว้เหล่าโจ้ว(ล่อจู้)

กำลังรอเรื่องอัศจรรย์

นึกอยู่ว่าจะเขียนอะไรต่อ  กำลังนึกถึงเรื่องเล่าของอาป๊าตัวหนุ่มๆ ช่วงกุลียุคของประเทศจีน
 
แต่ยังรอเรื่่องอัศจรรย์ของคุณสุทินอยู้ 
รูปภาพของ suthin_sun

กำลังหาเวลามาเล่าต่อ 555

พอดีช่วงนี้มีงานทำแบบพระวิหารเลย ห่างๆไปหน่อยครับ ที่อยากจะเล่าคือ สัมผัสด้วยตัวเองคือ มันเกิดเป้าหมายอย่างแรงกล้า(ต้องว่าแบบนั้น)โดยมีปัจจัยผลักดันหลายๆอย่างที่เกิดขึ้น และมีความบังเอิญให้ได้ไปจริงๆแบบไม่น่าเชื่อ แถมไปในวันเวลาที่ต้องบอกว่า ถูกที่ถูกเวลาแบบจำเพาะเจาะจงที่ไม่น่าเชื่อ จนทำให้รู้สึกเกิดความเคารพและศรัทรา บรรพชนที่เรามีโอกาสไปกราบไหว้

รูปภาพของ suthin_sun

เรื่องที่คุณ 陈伟民 คิดจะเขียนเล่า

เล่าเรื่องในอดีต รอฟังด้วยใจจรดจ่อเลยครับ ผมว่าเป็นการเล่าแลกเปลี่ยนเรื่องราวแต่หนหลังของ เตี่ยแม่ อากง อาม่า ให้ได้รับรู้กันและช่วยกระตุ้นเตือนคนที่มาอ่านให้หวนลำลึกถึงบรรพชน อันเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการตั้ง 

กลุ่มสวัสดิการและพิธีการของคนปั้นซันขัก

ช่วงที่ผมสืบค้นเรื่องของเตี่ยผม ผมจะใช้วิธีเทียบ ปูมการดำเนินชีวิตของเตี่ยตามคำบอกเล่าของ แม่และพี่ เป็นtime line  ควบคู่ไปกับ time line ของประวัติศาสตร์โลก ที่ในยุคนั้นอยู่ในภาวะปั่นป่วนอย่างยิ่ง บางเรื่องก็ทำให้เราเข้าใจได้เลยถึงการทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดออกมาเผชิญโชค หรือถึงมาอยู่เมืองไทยแล้ว ทำไมถึงไม่กลับบ้านเกิดเมืองนอนทั้งที่บางครอบครัว มีลูกเมียรออยู่ ลองทำtime line ควบคู่กันดูนะครับ ของเตี่ยผมนี่เริ่มจากปลายสงครามโลกครั้งที่2 สู่ยุคสงครามกลางเมือง และช่วงท้ายชีวิตเตี่ยผมคือยุคปฎิวัติวัฒนธรรม(ที่ว่ากันว่าเป็นยุคมืดมนอนธกาล สังคมวิปโยคอย่างแสนสาหัสในจีน) 

รูปภาพของ suthin_sun

การได้เดินทางไป ไหว้บรรพชนในปี2557(2014)

สืบเนื่องจากที่เล่าเรื่องพี่ชายที่ดั้นด้น จนได้มาไหว้เตี่ยที่เมืองไทย สำหรับผมก็รู้สึก(ตอนนั้นนะครับ)เฉยๆ อืม..พี่ชายรึ โอ๊ะแก่นะเป็นพ่อกู (เอ๊ยยประทานโทษ) พ่อเราได้เลย แถมมีอีกคนอายุมากกว่านี้อีกที่เมืองจีน อาตั้วเฮียนะ 55+ ทั้งความที่ถูกเลี้ยงในสังคมแบบคนไทยทั่วๆไป(ทั้งที่แม่ก็พยามปลูกฝัง จารีตธรรมเนียมอยู่) เราก็ไหลไปตามสภาวะเด็กยุคหลังกึ่งพุทธกาลทั่วไปในสังคมไทย ฟังเพลงฝรั่ง ดูหนังฮอลลีวู๊ด ดูซี่รี่ฮ่องกงบ้างในช่วงช่อง3เอามาบูม ประเทศจีนรู้สึกห่างไกลในความรู้ความเข้าใจ รู้แค่ว่าประเทศจีนใหญ่มากกก มีประธานเหมาเป็นประมุข คนแต้จิ๋วคือคนจีน คนจีนคือคนแต้จิ๋ว คือแบบว่าคนจีนก็เหมือนๆคนแต้จิ๋วในเมืองไทยนี่ละทั้งความคิด ขบนธรรมเนียมประเพณี เรื่องพี่ชายเยี่ยมจึงเป็นเรื่องที่ผ่านเข้ามาพอได้รู้แถมมีระแวงนิดๆ ตัวจริงป่าวหว๊า...555 แต่ยืนยันด้วยDNA หน้าตาเฮียแก7-8ส่วนคือ หน้าเตี่ยผมชัดๆจากรูปถ่ายที่ได้เห็นมาตลอด และการมาเยี่ยมตามธรรมเนียม(รึแม้แต่เราไปเมืองจีน)คือการต้องเตรียมหาอ้่งเปา ไว้ให้เขาเมื่อเดินทางกลับ ด้วยว่าครอบครัวผมก็ไม่ใช่ฐานะดี อาแมะ เป็นซิงเกิ้ลมัม(ใช้ศัทพ์สมัยใหม่หน่อย55) ต้องเลี้ยงลูกโดยลำพังหลังจากสามีตายคนโต17-18 คนเล็กสุดคือผม3-7ขวบ ทั้งหมด7คน เป็นอะไรที่ผมรู้สึกว่าอาแมะผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องรับผิดชอบ คนอยู่ห่างไกลเลย แต่อาแมะก็ยอมขายที่ได้เงินแสนไม่เกิน2แสนให้พี่ชายไปในขณะนั้น2530-2535 น่าจะเป็นช่วงจีนกำลังเปลี่ยนเข้ายุคแมวสีอะไรขอให้จับหนูได้เป็นพอ เพราะฟังจากอาแมะเล่าแกอยากได้เงินไปลงทุน แต่เราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของอาแมะเรา ในภายหลังหรือปัจจุบันนี้กลับรู้สึกภูมิใจอาแมะตัวเองมากกว่าเดิมเป็นหลาย100เท่า และคิดว่าเข้าใจการตัดสินใจหาเงินให้พี่ชายในครั้งนั้น

หลังพี่ชายกลับไป

หลังพี่ชายกลับไป ในความรู้สึกก็คือรู้ว่ามีพี่ชายที่เมืองจีน ที่ไหนซักแห่งที่ก็ไม่รู้ซินะ รู้แต่ชื่อ แซ่ อยากไปหาไหม ฮือ..พูดกันไม่รู้เรื่อง ห่างเหินไม่ผูกพันแล้วความรู้สึกที่จดจำก็เลือนๆลางไป นึกขึ้นมาได้บ้างเวลาพี่น้องพูดกันขึ้นมาแต่ก็จนปัญญาที่จะติดต่อกันได้ เรียกว่าขาดการติดต่อกันโดยสิ้นเชิง ประมาณว่ารู้ว่ามีจริงแต่เหมือนอยู่คนละภพ คนละโลกห่างไกลเหลือเกินจนกระทั่งปี2542(1999) อาแมะผมได้เสียชีวิตไปโดยที่ก็ไม่สามารถแจ้งไปให้พี่ชายทราบได้เลย รู้ว่าเขาผูกพันกันละแต่ก็จนปัญญา อาแมะผมพูดแต้จิ๋วได้(ความจริงต้องบอกว่าได้5ภาษา (ไทย ลาว เขมร จีน ระดับexpert ด่ากันข้ามวันได้ และภาษาอังกฤษนิดหน่อย สมัยนั้นแกติดตามอ่านนิตยสารเครือจักรภพ นะครับจะสนใจภาษาอังกฤษขนาดไหนคิดเอา55) และเวลาล่วงเลยมาอีกหลายปี พวกผมพี่ๆน้องๆก็ชวนกันไปเที่ยว ฮ่องกง แบบแบคแพค ไปกันเอง3พี่น้อง พี่สาวผม2คนกับผม เป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดเป้าหมายอยากกลับไปเห็นบ้านเตี่ยซักครั้งในชีวิต ด้วยเหตุผลที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันๆ ในระหว่างทริปนั้น นั่นเอง

รูปภาพของ suthin_sun

ทริปเที่ยวฮ่องกง

ทริปเที่ยวฮ่องกง2553(2010) ไปกันเอง แบบคนไทยทั่วๆไป ภาษาจีนไม่ได้ อังกฤษ ดายนิดหน๊อยยย55+ ในขณะที่เที่ยวอยู่นั้นสำหรับผมถือว่าเกิดความรู้สึกอัศจรรย์กับตัวเอง และกับพี่สาวทั้ง2คน แต่ของผมนี่ต้องถือว่าเข้าขั้นแรงมากในระดับรบกวนอยู่ในจิตใจเลยที่เดียว อัศจรรย์ที่1(เกิดเป้าหมายแบบบังเอิญๆแต่หนักแน่นมั่นคง)เพราะระหว่างเที่ยวในฮ่องกงก็พูดกันขึ้นมาแบบลอยๆ ว่าบ้านเตี่ยเราอยู่แถวไหนกันนะ ไกลไหมแล้วเราจะรู้กันได้อย่างไรเพราะเริ่มมาจากนั่งเรือระหว่างเที่ยวแล้วพูดกันขึ้นว่า เตี่ยไปเมืองไทยน่าจะผ่านมาทางฮ่องกงนี้แน่นอน และที่น่าแปลกก็คือ ไม่รู้มีฬครเคยเป็นไหม การที่เรานอนไม่หลับแบบที่เขาเรียกฟุ้งซ่านนะ แต่ที่ผมเป็นในช่วงเที่ยวที่ฮ่องกงมันไม่ใช่การฟุ้งซ่านจากความเครียดเรื่องงาน(เพราะไปเที่ยว) รึนอนผิดที่เพราะระหว่างเที่ยวทุกวันก็เหนื่อยรากเลือดนอนหลับสนิทรีบแหกขี้ตาไปเที่ยวในทุกเช้าแต่วันจะเดินทางกลับ นอนคืนนั้นความคิดมันวนๆเวียนๆนึกถึงแต่ว่าบ้านเตี่ยเราต้องอยู่แถวๆนี้แน่นอน คิดวนๆเวียนๆซ้ำไปซ้ำมา นึกอยู่จะบ้ารึป่าวนี่เพราะคิดอย่างไรดูเหมือนเบาะแสที่มีมันสูญหายไปหมดแล้ว ไม่มีทางไปสืบค้นแล้วแต่มันก็ไม่ยอมหยุดคิด นอนไม่หลับเลยไปเปิดทีวีทิ้งไว้ เปิดเสียงเบาๆ ทำเหมือนอยู่ที่บ้าน นิสัยเสียมาก55+ นอนไปก็ไม่หลับหรอกเคลิ้มๆ หลับๆตื่นๆ เช้ามายังได้เล่าให้พี่สาวฟัง แกยังบอกแบบติดตลกสงสัยเตี่ยมาด้วยแกอยากให้ไปบ้านแกมั๊ง ก็เลยเป็นภาระให้ผมลองสืบหาข้อมูลดูว่าจะพอมีทางรู้ไหม และอีกหนึ่งเรื่องที่รู้สึกสงสัยคือตอนนอนฟังเสียงทีวี ภาษากว่างตุ้ง ฟังไปฟังไป เอ..ทำไมมันคล้ายๆภาษาเวียตนาม หว่าน่าแปลกใจจริงๆ เลยกลายเป็น2เรื่องที่อยากให้ค้นหาหลังจากกลับจากการเที่ยวในครั้งนั้น

รูปภาพของ suthin_sun

หลังกลับจากฮ่องกง

หลังกลับจากฮ่องกง ถ้านับจากวันที่พี่ชายมาเมืองไทย จนพวกผมได้ไปไหว้บรรพชน ปี 2530-ปี 2557 ห่างกัน 27 ปี ถ้านับจากไปเที่ยวฮ่องกง 2553-2557 นับได้น่าจะ 3-4 ปี ทำไมใช้เวลานานขนาดนั้น เพราะมันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่น่าจะพูดได้ว่า ถึงเวลาที่เหมาะสม ถูกที่ ถูกเวลา ถูกต้องตามเจตจำนง องค์ประกอบ ปัจจัยต้องถึงพร้อมครบครัน หลังกลับจากฮ่องกงใหม่ สิ่งที่เรียกว่า มีแรงปราถนาที่รบกวนจิตใจแรงมาก อันดับแรกๆ โทรสอบถามญาติๆ ผู้ใหญ่ที่พูดจีนได้ และพี่ชายได้ไปเยี่ยมเยียน ล้มเหลวสิ้นเชิง ไม่มีการคุยกันจริงจังว่าบ้านอยู่ที่ไหน

ดูเหมือนจะหมดหวังแต่แรงตั้งใจก็ยังมีเต็มเปี่ยมเหมือนเดิม แต่อีกหนึ่งเรื่องที่้เกิดข้อสงสัย และตั้งสมมุติฐานแบบโง่ๆ นั่งเทียนเอาตามรู้สึกว่า ภาษาเวียตนามเป็นญาติใกล้ชิดกันกับภาษากว่างตุ้ง หลังจากค้นข้อมูลในอินเตอร์เน๊ต ปรากฎว่าเป็นอย่างที่คิดคือเป็นกลุ่มภาษาตระกูลเดียวกัน คล้ายๆ ภาษาไต กว่างสีเป็นญาติภาษาตระกูลไทยของเรา เลยรู้สึกทึกทักเอาเองว่า คืนนั้นที่ฮ่องกงเราไม่ได้บ้า นา... มันรู้สึกได้ สัมผัสได้กับแรงดลใจที่เราสัมผัส (ภาษาเวียตนามที่ผมคุ้นไม่ใช่ภาษาเวียตนามด้วยซ้ำเป็นแค่เพียงได้ยินยายเป็นคนเวียตนามแถวๆ บ้านที่พูดไทยไม่ชัดแต่ติดสำเนียงคนเวียต ก็น่าแปลกอยู่นะ)

ในระหว่าง 2-3 ปี การพยามสืบหาก็ตีบตัน คิดแล้วว่าคงยากแล้วละให้บังเอิญว่าต้องไปโอนที่ดินของแม่ ผมเรียกว่าสิ่งอัศจรรย์ที่ 2 ก็เกิด เพราะการโอนที่มรดกต้องสืบสิทธิคนในครอบครัวต้องหาใบมรณะบัตรเตี่ยไปยืนยัน อ้าวได้เบาะแสมาเฉยเลย ในใบนั้นมีข้อมูลเพียงแค่ ชื่อ แซ่เตี่ย ปีเกิด (ไม่มีวันและเดือน) สัญชาติจีนแคะภูมิลำเนาที่จีน คือเขียนสั้นๆว่า ตำบลทึงแค อำเภอฮงสุน จังหวัดแต้จิ๋ว เข้ามาเมืองไทยเมื่อไหร่ และวันที่เสียชีวิต และสถานที่เสียชีวิต เบาะแสแค่นี้นี่เองกลายเป็นอะไรที่ไม่อยากจะเชื่อว่าเหมือนได้บรรลุเป้าหมายที่ชัดเจน และจับต้องได้แบบแสนจะเหลือเชื่อที่เกี่ยวพันกับ เวปชุมชนฮากกานี้ด้วย

เพราะข้อมูลชื่อเมืองที่มีแค่นั้นผมได้เสริทหาจน มาเจอเวปนี้เพราะมีคนเขียนบล็อคเที่ยว ท้องคังเมืองน้ำพุร้อน และมีโค็ดคำว่า ทึงแค ฮงสุน (ผมคิดว่าเวลาเราเขียนบล็อดพยายามเขียนชื่อเมืองด้วยสำเนียงทั้งหมดที่มีในถิ่นจะช่วยคนที่พยาม งมเข็มในมหาสมุทรอีกหลายๆ คนถึงเป้าหมายได้) การได้เห็นบล็อคนั้นไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกอย่างไรดี มันเป็นความดีใจที่มากกว่าความดีใจนะ เขาเรียกปิติมั๊ง ตื่นเต้นดีใจ ขนลุกประมาณนั้นเลยดีในขนาดที่ว่ารีบแจ้งข่าวให้พี่ทราบ ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ คำที่ว่าภาพๆ เดียวแทนคำนับหมื่นมันจริงแบบนี้นี่เอง อ่านบล็อคไปเหมือนใจมันไปอยู่ที่นั่นแล้ว เดี๋ยวค้นหาบล็อคที่เห็นครั้งแรกก่อนนะครับ

 http://hakkapeople.com/node/760

ไม่แน่ใจว่าหน้านี้รึป่าว รู้สึกว่าที่อ่านครั้งแรกม่ถ่ายอาหาร แล้วก็พูดถึงน้ำพุร้อนสาธารณะของตลาดทึงแค 

http://hakkapeople.com/node/194

http://hakkapeople.com/node/4503

รูปภาพของ suthin_sun

ชุมชนฮากกา

หลังจากเข้าเป็นสมาชิกชุมชนฮากกา ก็ได้รับคำแนะนำ ไขข้อข้องใจในแทบทุกๆเรื่องจากผู้ใหญ่ใจดีในเวปคลายข้อสงสัยให้เป็นเหตุว่า เวลามีคำถามก็เลยต้องมาใช้หนี้555+ ถึงแม้จะรู้ตัวว่าอ่อนด้อยทั้งภาษา จารีตขนบธรรมเนียมแต่ก็ยังอยากอาสาทำให้เท่าที่ทำได้ เพราะได้รับการปฎิบัติที่ประทับใจมาก อย่าเอ๋ยนามเลยนะครับถ้าตกหล่นจะเป็นกรรม แหะๆ เมื่อเป้าหมายชัดเจน เจตจำนงย่อมพลิกฟื้นเข้มข้นขึ้น การชวนกันไปบ้านเตี่ยเริ่มมีการคุยกันจริงจังขึ้น ทั้งเรื่องวันเวลา แบคแพค(โห..ช่างกล้าคิดเน๊าะ) ซื้อทัวร์ แต่ทุกๆครั้งมาสะดุดลงที่ ไปถึงจะไปหาพี่ชายเจอยังไงแบบไหน คำถามตัวเบ้อเริ่มมเลย พี่น้อง7คน ที่ยังอยู่5คน เสียงแตกชวนแล้วอยากไป แต่ไม่ออกแรงไม่เอาจริง พอผมจะเอาจริงมีถอย ชักเข้าชักออกเป็นอยู่แบบนี้เหมือนวนลู๊ปซ้ำ ไม่ได้ไปแน่เลยไปคนเดียวซะเลยดีไหม555

รูปภาพของ suthin_sun

เมื่อปัจจัยถึงพร้อม

ในระหว่างที่ลังเลกันอยู่นั้น ปรากฎว่าพี่ชายที่เมืองจีนเดินทางกลับมาเยี่ยมอีกครั้งในปี2556(2013) โคตรดีใจอย่างบอกไม่ถูกเลย ครั้งนี้แกพา อาซ้อ(เมียแก)และลูกคนเล็กแกมาด้วยใช้เวลามาเยี่ยมสั้นๆ3-4วัน(ครั้งแรกแกมาอยู่เกือบเดือน) แต่สิ่งที่แกตั้งใจกลับมาอีกครั้งเพราะต้องการพาแม่ผมไปเที่ยวเมืองจีน ไปดูความสำเร็จของลูกๆแก (แกคงไม่สะออนพวกผมเท่าไหร่หรอก55) และที่แกเสียใจมากคือไม่รู้ข่าวว่าแม่ผมเสีย เพราะไม่มีการส่งข่าวไปบอกแก พี่โตผมที่สตึก เจอกันครั้งนี้โดนสวดยับ(แกเล่าให้ฟังตอนพาพี่ชายมาส่งที่บ้านผม ว่ากูโดนด่ายับเป็น ชม.เลย นั่งรถมาส่งก็โดนตลอดทาง พี่เมืองไทยแกพูดไม่ได้แต่พอฟังออกเพราะใกล้ชิดเตี่ยจนอายุ17-18 บอกฟังได้แค่ว่านิสัยไม่ดีไม่ยอมเรียนภาษาจีน) เมื่อทราบว่าแม่เสียแกเลยบอกว่าอยากให้น้องๆ ไปเที่ยวบ้านเตี่ยไปเลยเดี๋ยวแกรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง (นึกในใจ กูเอ้ยยย ผมนี่ใช้ได้เลยเนอะตั้งใจอยากจะไปก็มีคนมารับ แถมอาสาดูแลอีกต่างหาก55 แต่ความจริงเป็นความตั้งใจของพี่ชายผมมากกว่า โดยเฉพาะอยากตอบแทน แม่ผม) แต่ที่น่าอัศจรรย์ที่ผมขอเรียกว่า อัศจรรย์ที่3พี่น้องที่อยู่ห่างไกลกันกลับคิดหรือมีเจตจำนงเดียวกันในห้วงเวลาเดียวกัน โดยมีพี่ชายที่เมืองจีนเป็นตัวเชื่อมให้มันเกิดขึ้นจริงได้ สำหรับตัวผมมันเป็นความอัศจรรย์เฉพาะตัวของผมที่บรรยายไม่ถูก การวางแผนเพื่อไปจึงเป็นจริงเป็นจังอย่างยิ่ง เพราะสามารถติดต่อกันด้วยโทรศัทพ์สะดวกสบาย เพื่อนัดแนะกัน เป็นที่เบาใจของพี่ๆ

รูปภาพของ suthin_sun

กำหนดเวลา ที่บังเอิญจนน่าขนลุก

พี่น้องที่เมืองไทย 5 คน ก็มีการวางแผนกำหนดวันเวลาเดินทางโดยมีเป็นคนรับผิดชอบในการจัดการดำเนินการทุกอย่าง วันเวลาที่กำหนดกันคร่าวๆคือ ตุลา-ธค. มากคนก็มากความ  หาวันเดินทางที่แน่นอนไม่ได้ เดี๋ยววันนี้ คนนี้ว่าง คนนั้นไม่ว่างดูท่าจะล่มแผนอีกแล้วม้างง..

สุดท้ายต้องรอพี่สาวที่อยู่ต่างประเทศจะกลับเมืองไทยต้น ธค. มีกำหนดคร่าวๆ แล้ว คุยกันเอาต้นเดือนเลยไหม แกบอกถึงไทยแล้วเดินทางต่อแกบอกเหนื่อย จะเอากลางเดือนอีกคนไม่ว่าง เอาวันหยุดปีใหม่ไหมหลายคนส่ายหน้า แถมบอกต้องกลับถึงเมืองไทยก่อนคริสมาส วันเวลาจึงมาลงตัวที่18-22 ธค. ของปีนั้น (ทริปนี้ยังมีแพลนลงฮ่องกงเที่ยวก่อนแล้วเข้าจีนเที่ยวซัวเถาแต้จิ๋วก่อนถึงไปฮงสุน)

ใกล้ๆวัน จะจองตั๋วซื้อไพเวททัวร์ มีรวนมีญาติคนอื่นอยากมาแจมแถมเสียงดังอีกต่างหาก มีข้อแม้ว่าเลื่อนเวลาไปอีกวัน 2 วันได้ไหม แต่ก็แปลกในตอนนั้นจะเลื่อนก็คงพอได้ เพราะกลับมาก็ยังทันคริสมาสของพี่สาว และพี่สาวก็บอกเลื่อนได้ถึงจะถึงเมืองไทยในวันที่ 24 เรียกว่ากระชั้นชิดมากแต่แกก็ยอมเพราะเกรงใจ ถ้าเลื่อนตารางเวลาสิ่งที่เราจะพลาดคือเทศกาลสำคัญที่เมืองจีน ที่เราทุกคนไม่ทราบมาก่อนต่างหาก และที่ไปก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะไปเพื่อการนี้ เพราะไม่รู้จัก ในระหว่างที่ทุกคนโอนเอนจะเลื่อนๆ ผมกลับทำไมไม่รู้ตอนนั้นคือยกมือสวนเลยว่าไม่เลื่อนคนเดียว จะด้วยอะไรก็ไม่ทราบตอนนั้น อาจจะเพราะผมโดนโรคเลื่อนมาบ่อยก็ได้ ผมถือว่าเป็นอัศจรรย์ที่ 4 ถูกที่ถูกเวลา คือทริปนี้ถึงแม้จะแวะฮ่องกง แต้จิ๋วก่อน แต่เวลาถึงบ้านเตี่ยกลับตรงกับเทศกาลตังโจ่ย อย่างน่าอัศจรรย์ได้สัมผัส

พิธีกรรมเล็กๆในครอบครับในวันที่ถึงบ้านพี่ชายตอนค่ำๆ พี่น้องสายเลือดเดียวกันแต่ห่างกันเป็น 1000 กิโล ได้นั่งล้อมวงกินขนมบัวลอยกัน บรรยากาศเงียบๆ แต่ดูเหมือนทุกคนน้ำตาซึมกันเล็กน้อยด้วยควาปลื้มปิติ

รุ่งเช้าก็ได้เดินทางไปกราบไหว้ ไท้กง ไท้โป้ว(สะกดตามสำเนียงที่ได้ยินนะคับ) ที่ตำบลไท้หลอ ได้เห็นศาลบรรพชน เห็นป้ายบรรพชนรับรู้เรื่องการจดบันทึกสาแหรกวงศ์ตระกูล ที่สำคัญอย่างยิ่งความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ว่าเราได้มากกราบไหว้บรรพชนปู่ทวดย่าทวด ที่ประมาณความรู้สึกว่า มีเขาจึงมีเรา เป็นอะไรที่ ณ เวลานั้น ไม่อยากจะเชื่อว่าเรา ไปนั่งลงก้มกราบท่าน ในเทศกาลพอดิบพอดี

ถูกที่ถูกเวลาได้อย่างไรช่างมีความบังเอิญมากมาย แม้แต่จะมีอะไรเบี่ยงเบนก็ยังไม่ได่ อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ใครจะว่า งมงายผมก็ยินดีน้อมรับ แต่ที่อยากถ่ายทอดให้ทุกคน ในชุมชนนี้ก็เพียงอยากยืนยันว่า ถ้าคุณตระหนักรู้ตัวตนและรากเหง้าตนเอง และมีความกตัญญูรู้คุณรู้ความสำคัญของบรรพชน จะมีแรงดึงดูดนั้นนำพาท่านแนนอน

หวังว่าทุกคนจะเห็นความสำคัญของการกลุ่มสวัสดิการปันซันขัก รึแม้แต่จะมีแบบกลุ่มที่เป็นกลุ่มรวมใหญ่กว่านี้ เพราะผมเชื่อและศรัทธาว่า บรรพชนมีอยู่จริง และดูแลปกป้องคุ้มครองลูกหลานจริง เว้นแต่ตัวเราที่เป็นคนที่ไม่รู้รากเหง้า ไม่ให้ความสำคัญการสื่อถึงกันก็อาจขาดหาย จางหายไปอย่างน่าเสียดายอย่างยิ่ง

รูปภาพของ อาคม

หวอง สุทิน

ขอบใจ ที่มาแบ่งปันอ่านไปก็นำ้ตาไหลไปด้วยความตึ้นตัน มันไม่ใช่ความบังเอิญแต่มันมาจากคำ 孝  นี้จริงๆ

รูปภาพของ suthin_sun

ด้วยความยินดี

ด้วยความยินดี ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกได้ถึงความรักที่พี่ชายที่เมืองจีนมีต่อน้องๆ ทั้งยังรู้สึกภูมิใจกับแม่ตัวเองที่คงเห็นความสำคัญของ การรักษาสายสัมพันธ์ของลูกหลานของสามี แม้จะเสียไปนานแล้วด้วยการแสดงความรับผิดชอบต่อกัน ล่าสุดที่ไปมาเมื่อเดือนก่อนพี่ชายแกมาส่งที่สนามบินก็สั่งว่าให้ พี่ชายอีกคนนึงไปที่ฮงสุนบ้านเตี่ยซักครั้ง(เหลือคนเดียวยังไม่ได้ไป) ต้องไปให้ได้ถ้าไปช่วงตังโจ่ยไหว้บรรพชนได้ยิ่งดี รับรู้ได้เลยว่าแกคงมองเห็นเป็นภาระกิจให้น้องๆได้ไปเห็นปิตุภูมิ ได้รู้จักรากเหง้าตัวเองโดยเฉพาะได้ไปไหว้บรรพชนอันเป็นสิ่งควรทำอย่างยิ่ง

 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal